วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ใช้โทรศัพท์มือถือนานๆผลจะเป็นอย่างไรระหว่างเด็กและผู้ใหญ่??



ใช้โทรศัพท์มือถือนานๆผลจะเป็นอย่างไรระหว่างเด็กและผู้ใหญ่?? http://www.phadungsak.me.engr.tu.ac.th/RCME%20NEWS/NEWS16.html ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือกลายเป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่เด็กหรือผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีกระแสของสมาร์ทโฟนที่รวบรวมความสามารถของโทรศัพท์มือถือ แทบเล็ต และคอมพิวเตอร์เข้าไว้ด้วยกันแล้ว โทรศัพท์มือถือจึงกลายเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพมาก และผูกพันอยู่กับกิจวัตรกิจกรรมของมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่อยู่ตลอดเวลา หากวันใดลืมเอาโทรศัพท์มือถือมาหรือแบตเตอรี่ของโทรศัพท์หมดก็จะส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเราทันที เพราะทุกอย่างที่จำเป็นล้วนถูกบันทึกอยู่ในโทรศัพท์ ตั้งแต่เบอร์ติดต่อที่จำเป็น อีเมลล์ เฟซบุ้ค โปรแกรมแชท รวมถึงรหัสผ่านที่เราไม่อยากจำเป็นต้น ขณะนี้โทรศัพท์มือถือที่มีขายในท้องตลาดนั้นมีหลากหลายมาก แต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติและคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าโทรศัพท์รุ่นใด ๆ ก็จะเหมือนกันหมด โดยคุณสมบัติที่สำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานโดยตรงคือ ความถี่และกำลังส่งซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อสมองได้ สำหรับประเทศไทย ความถี่ของคลื่นโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในปัจจุบันสำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 850/ 900/ 1800/ 1900/ 2100 MHz แม้จะใช้โทรศัพท์ในรุ่นและยี่ห้อเดียวกันแต่หากใช้งานในย่านความถี่ที่แตกต่างกันแล้วผลกระทบที่มีต่อสมองย่อมแตกต่างกันไปด้วย เราจึงจำเป็นต้องมาศึกษาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผลกระทบของคลื่นโทรศัพท์มือถือที่มีต่อสมองกันให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ด้วยเหตุดังกล่าว ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช ดร.ธีรพจน์ เวศพันธุ์ และกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรี คือ นายวัจน์กร คุณอมรเลิศ นางสาวจันทกานต์ นูรักษาและนายอภิชาติ แซ่ซือ จากภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงได้ร่วมกันวิจัยโครงการ “การจำลองโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยเพื่อวิเคราะห์ค่าอัตราการดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการถ่ายเทความร้อนในศีรษะมนุษย์ขณะใช้โทรศัพท์มือถือ” ภายใต้เงินทุนสนับสนุนจาก ทุนวุฒิเมธีวิจัย และทุนพัฒนาศักยภาพอาจารย์รุ่นใหม่จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และทุนโครงการมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ (NRU) โปรแกรมที่ใช้ในการจำลองการกระจายตัวของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า รวมถึงความร้อนที่เกิดขึ้นบริเวณสมองเพื่อทำการศึกษาผลกระทบจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งานที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ที่สถานการณ์แตกต่างกัน ระยะเวลาที่ต่างกัน ที่ความถี่ต่างๆ จนประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีและเป็นที่ยอมรับทั้งในเวทีวิจัยทั้งระดับนานาชาติและระดับชาติ ที่ผ่านมามีผลงานวิจัยทางการแพทย์จำนวนมากได้ระบุว่าการใช้โทรศัพท์มือถือมีความเชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งในสมองและความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวหากผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือเป็นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี แต่ก็เป็นเพียงงานวิจัยในเชิงคลินิกเท่านั้นแต่ยังมีผลงานวิจัยในเชิงกายภาพที่เป็นรูปธรรมจำนวนน้อยมากที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่แท้จริงที่เกิดกับผู้ใช้งานโทรศัพท์ ผลงานนี้จึงเป็นการเติมเต็มในส่วนการศึกษาผลกระทบในเชิงกายภาพให้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น ผลงานนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างจากงานที่ผ่านมาคือสามารถคำนวณความร้อนที่เกิดขึ้นจากโทรศัพท์มือถือที่บริเวณศีรษะและสมองจากการดูดซับพลังงานของคลื่นไมโครเวฟที่แพร่ออกมาจากเสาอากาศของโทรศัพท์ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างเฉียบพลันโดยไม่ต้องรอผลในระยะยาว เช่น อาจเกิดการปวดศีรษะ หน้ามืด เสียการทรงตัว และส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนต่าง ๆ ได้ทันทีขณะใช้งานโทรศัพท์ หากโทรศัพท์เครื่องนั้นๆ ไม่ได้มาตรฐาน เช่น มีค่ากำลังส่งมากเกินมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด ซึ่งจากการศึกษาโดยใช้โปรแกรมที่ได้พัฒนาขึ้นพบว่าการใช้โทรศัพท์รุ่นที่มีความถี่ที่ต่ำกว่าคลื่นจะส่งผลกระทบต่อสมองส่วนกลางได้มากกว่าโทรศัพท์มี่มีความถี่สูงเนื่องจากคลื่นความถี่ต่ำจะสามารถทะลุทะลวงเข้าไปในศีรษะได้ลึกมากกว่านั่นเอง ในทางตรงกันข้ามสำหรับคลื่นความถี่ที่สูงแม้ว่าคลื่นจะไม่สามารถทะลุทะลวงเข้าสู่สมองส่วนกลางได้มากนักแต่กลับจะส่งผลมากกับบริเวณสมองส่วนนอกฝั่งที่อยู่ติดกับโทรศัพท์ได้มากกว่าการใช้งานโทรศัพท์ในย่านความถี่ที่ต่ำ สำหรับกำลังส่งของโทรศัพท์ถ้าใช้กำลังส่งที่มีค่าไม่เกินมาตรฐานก็จะมีผลกระทบต่อสมองไม่มากนัก จากการศึกษาพบว่าสำหรับการใช้งานโทรศัพท์มือถือที่มีกำลังส่งมาตรฐานที่ 1.5 วัตต์เป็นระยะเวลาต่อเนื่องไม่เกิน 30 นาที อุณหภูมิของสมองส่วนกลางจะมีค่าเพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.1 องศาเซลเซียส ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่าระดับอุณหภูมิที่จะส่งผลผลกระทบต่อร่างกายที่ต้องมีค่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในระดับ 0.2-0.3 องศาเซลเซียสขึ้นไป แต่หากโทรศัพท์ที่ใช้งานมีกำลังส่งมากขึ้น แม้ว่าจะสามารถสื่อสารใช้ชัดเจนแต่ก็อาจส่งผลให้สมองมีการตอบสนองเชิงอุณหภูมิต่อคลื่นโทรศัพท์มากขึ้นตามกำลังส่งเช่นกัน สำหรับผู้ใช้งานที่เป็นเด็ก จากการศึกษาพบว่าคลื่นโทรศัพท์สามารถทะลุทะลวงเข้าไปสู่สมองส่วนกลางได้มากและอาจได้รับผลกระทบได้มากกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากเด็กมีขนาดศีรษะที่เล็ก กะโหลกบางกว่า และเนื้อเยื่อสามารถดูดคลื่นไว้ได้มากกว่า โปรแกรมที่ได้พัฒนาขึ้นนี้ยังได้ทำการยืนยันผลความถูกต้องกับค่าที่วัดได้จากการใช้กล้องอินฟราเรดที่ใช้ในการวัดความร้อนบริเวณผิวของผู้ใช้งานโทรศัพท์อีกด้วย ดังนั้นควรแนะนำบุตรหลานให้หลีกเลี่ยงการใช้งานโทรศัพท์ที่ไม่จำเป็น อาจใช้งานระบบแฮนด์ฟรีหรือใช้การส่งข้อความแทน ซึ่งผู้วิจัยก็มีข้อแนะนำสำหรับผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือดังนี้ 1.หลีกเลี่ยงการใช้งานโดยไม่จำเป็น หากต้องใช้ก็ใช้ให้น้อยที่สุด 2.หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ในที่แคบ เช่น ในรถยนต์ เนื่องจากคลื่นจะมีการสะท้อนเข้าสู่ร่างกายของผู้ใช้งานได้เป็นปริมาณมากขึ้น 3.เวลานอนพยายามอย่าวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ตัว 4. หากต้องพกพาโทรศัพท์มือถือ พยายามหาซองใส่หรือใส่ในกระเป๋าเพื่อลดการแพร่ของคลื่นสู่ร่างกาย 5. พยายามใช้อุปกรณ์เสริม เช่น Small talk, Bluetooth หรือ Hand free อย่าพยายามพูดโทรศัพท์โดยยกมาแนบกับหูโดยตรง ผลงานนี้เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวางทั้งในแวดวงอุตสาหกรรมการสื่อสารและวงการแพทย์ เนื่องจากเป็นงานแรกของประเทศไทยและเป็นงานแรก ๆ ของโลกที่ได้พิจาณาถึงผลของความร้อนที่เกิดขึ้นในบริเวณสมองจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นผลทางกายภาพที่แท้จริงที่เกิดจากอันตรกิริยาระหว่างคลื่นของโทรศัพท์มือถือต่อเนื้อเยื่อสมองที่จะเชื่อมโยงไปสู่การวิจัยในทางการแพทย์ที่จะศึกษาถึงผลในเชิงชีววิทยาที่มีต่อเซลล์สมองต่อไป และเชื่อมโยงไปสู่ภาคอุตสาหกรรมการสื่อสารที่จะนำไปใช้เป็นมาตรการในการออกแบบโทรศัพท์ให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น ผลงานนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการชั้นนำของโลกหลายรายการและล่าสุดยังได้รับรางวัล Special Prize จาก จากสมาคมนักประดิษฐ์เกาหลี (KIPA-Korea Invention Promotion Association)ที่มอบพิเศษให้กับนักประดิษฐ์ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดเพียงสองรางวัล ในงานวันนักประดิษฐ์ประจำปี 2556 จัดโดยสภาวิจัยแห่งชาติ ระหว่างวัน ที่ 2 – 5 กุมภาพันธ์ 2556 ณ ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ผู้สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดบทความวิจัยฉบับเต็มได้ที่ http://www.phadungsak.me.engr.tu.ac.th/downloads/asme%202012_3.pdf

อ้างอิง https://www.facebook.com/media/set/?set=a.291274897664770.65492.258391074286486&type=3

ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช วิศวะ มธ. เผยงานวิจัยผลกระทบจากคลื่นมือถือต่อสมองมนุษย์

ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช วิศวะ มธ. เผยงานวิจัยผลกระทบจากคลื่นมือถือต่อสมองมนุษย์
เผยวิจัยพบ มือถือปล่อยคลื่นไมโครเวฟออกมา 1 วัตต์ หากใช้แนบหูนาน 30 นาที ก้านสมองจะร้อนขึ้น 1-1.5 องศาเซลเซียส เด็กโดนแรงกว่า
ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ จึงแนะว่าให้ใช้มือถือแต่ละครั้งอย่านาน ใช้ small talk ก็น่าจะดีกว่า และเลี่ยงการใช้ที่แคบ เพื่อไม่ให้คลื่นที่โดนเข้มเกินไป ท่านเล่าว่าเตาอบไมโครเวฟกำลังเริ่มต้น 800 วัตต์ ส่วนมือถือซึ่งปล่อยคลื่นแบบเดียวกันกำลังแรง 1 วัตต์ แต่มือถือรุ่นเก่าๆ คลื่นแรงมาก
ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ ยืนยันว่า แม้วิจัยพบผลจากมือถือดังกล่าว แต่ก็ยังใช้ตามปกติ โดยเน้นไม่ให้มาก นาน หรือใกล้เกินไป 10-15 นาทีอย่างมาก
ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ ได้รับทุนวิจัยมาจาก สกว.(สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) และกำลังอยู่ระหว่างวิจัยผลกระทบจาก Wi-Fi ด้วย รอติดตามกันไม่เกิน 1 ปี 

รายละเอียด

การจำลองโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยเพื่อวิเคราะห์ค่าอัตราการดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

และการถ่ายเทความร้อนในศีรษะมนุษย์ขณะใช้โทรศัพท์มือถือ 

(ผลงานรางวัล Special Prize จากสมาคมนักประดิษฐ์เกาหลี: KIPA)
 

ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือกลายเป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่เด็กหรือผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีกระแสของสมาร์ทโฟนที่รวบรวมความสามารถของโทรศัพท์มือถือ แทบเล็ต และคอมพิวเตอร์เข้าไว้ด้วยกันแล้ว โทรศัพท์มือถือจึงกลายเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่ทรงประสิทธิภาพมาก และผูกพันอยู่กับกิจวัตรกิจกรรมของมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่อยู่ตลอดเวลา หากวันใดลืมเอาโทรศัพท์มือถือมาหรือแบตเตอรี่ของโทรศัพท์หมดก็จะส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเราทันที เพราะทุกอย่างที่จำเป็นล้วนถูกบันทึกอยู่ในโทรศัพท์ ตั้งแต่เบอร์ติดต่อที่จำเป็น อีเมลล์ เฟซบุ้ค โปรแกรมแชท รวมถึงรหัสผ่านที่เราไม่อยากจำเป็นต้น 
ขณะนี้โทรศัพท์มือถือที่มีขายในท้องตลาดนั้นมีหลากหลายมาก แต่ละรุ่นก็มีคุณสมบัติและคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าโทรศัพท์รุ่นใด ๆ ก็จะเหมือนกันหมด โดยคุณสมบัติที่สำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานโดยตรงคือ ความถี่และกำลังส่งซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อสมองได้ สำหรับประเทศไทย ความถี่ของคลื่นโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในปัจจุบันสำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 850/ 900/ 1800/ 1900/ 2100 MHz แม้จะใช้โทรศัพท์ในรุ่นและยี่ห้อเดียวกันแต่หากใช้งานในย่านความถี่ที่แตกต่างกันแล้วผลกระทบที่มีต่อสมองย่อมแตกต่างกันไปด้วย เราจึงจำเป็นต้องมาศึกษาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผลกระทบของคลื่นโทรศัพท์มือถือที่มีต่อสมองกันให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
ด้วยเหตุดังกล่าว ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2554 ดร.ธีรพจน์ เวศพันธุ์ และกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรี คือ นายวัจน์กร คุณอมรเลิศ นางสาวจันทกานต์ นูรักษาและนายอภิชาติ  แซ่ซือ จากภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงได้ร่วมกันพัฒนาโปรแกรมที่ใช้ในการจำลองการกระจายตัวของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า รวมถึงความร้อนที่เกิดขึ้นบริเวณสมองเพื่อทำการศึกษาผลกระทบจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งานที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ที่สถานการณ์แตกต่างกัน ระยะเวลาที่ต่างกัน ที่ความถี่ต่างๆ จนประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีและเป็นที่ยอมรับทั้งในเวทีวิจัยทั้งระดับนานาชาติและระดับชาติ

(ผลงานของคณะผู้วิจัยที่ตีพิมพ์ใน  Int. J. Heat Mass Transfer, 2012 )


ที่ผ่านมามีผลงานวิจัยทางการแพทย์จำนวนมากได้ระบุว่าการใช้โทรศัพท์มือถือมีความเชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็งในสมองและความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวหากผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือเป็นเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี แต่ก็เป็นเพียงงานวิจัยในเชิงคลินิกเท่านั้นแต่ยังมีผลงานวิจัยในเชิงกายภาพที่เป็นรูปธรรมจำนวนน้อยมากที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่แท้จริงที่เกิดกับผู้ใช้งานโทรศัพท์ ผลงานนี้จึงเป็นการเติมเต็มในส่วนการศึกษาผลกระทบในเชิงกายภาพให้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น 

 

     

(ผลงานของคณะผู้วิจัยที่ตีพิมพ์ใน  ASME J. Heat Transfer, 2012)


ผลงานนี้มีจุดเด่นที่แตกต่างจากงานที่ผ่านมาคือสามารถคำนวณความร้อนที่เกิดขึ้นจากโทรศัพท์มือถือที่บริเวณศีรษะและสมองจากการดูดซับพลังงานของคลื่นไมโครเวฟที่แพร่ออกมาจากเสาอากาศของโทรศัพท์ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างเฉียบพลันโดยไม่ต้องรอผลในระยะยาว เช่น อาจเกิดการปวดศีรษะ หน้ามืด เสียการทรงตัว และส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนต่าง ๆ ได้ทันทีขณะใช้งานโทรศัพท์ หากโทรศัพท์เครื่องนั้นๆ ไม่ได้มาตรฐาน เช่น มีค่ากำลังส่งมากเกินมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด 
ซึ่งจากการศึกษาโดยใช้โปรแกรมที่ได้พัฒนาขึ้นพบว่าการใช้โทรศัพท์รุ่นที่มีความถี่ที่ต่ำกว่าคลื่นจะส่งผลกระทบต่อสมองส่วนกลางได้มากกว่าโทรศัพท์มี่มีความถี่สูงเนื่องจากคลื่นความถี่ต่ำจะสามารถทะลุทะลวงเข้าไปในศีรษะได้ลึกมากกว่านั่นเอง ในทางตรงกันข้ามสำหรับคลื่นความถี่ที่สูงแม้ว่าคลื่นจะไม่สามารถทะลุทะลวงเข้าสู่สมองส่วนกลางได้มากนักแต่กลับจะส่งผลมากกับบริเวณสมองส่วนนอกฝั่งที่อยู่ติดกับโทรศัพท์ได้มากกว่าการใช้งานโทรศัพท์ในย่านความถี่ที่ต่ำ สำหรับกำลังส่งของโทรศัพท์ถ้าใช้กำลังส่งที่มีค่าไม่เกินมาตรฐานก็จะมีผลกระทบต่อสมองไม่มากนัก จากการศึกษาพบว่าสำหรับการใช้งานโทรศัพท์มือถือที่มีกำลังส่งมาตรฐานที่ 1.5 วัตต์เป็นระยะเวลาต่อเนื่องไม่เกิน 30 นาที อุณหภูมิของสมองส่วนกลางจะมีค่าเพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.1 องศาเซลเซียส ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่าระดับอุณหภูมิที่จะส่งผลผลกระทบต่อร่างกายที่ต้องมีค่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในระดับ 0.2-0.3 องศาเซลเซียสขึ้นไป แต่หากโทรศัพท์ที่ใช้งานมีกำลังส่งมากขึ้น แม้ว่าจะสามารถสื่อสารใช้ชัดเจนแต่ก็อาจส่งผลให้สมองมีการตอบสนองเชิงอุณหภูมิต่อคลื่นโทรศัพท์มากขึ้นตามกำลังส่งเช่นกัน สำหรับผู้ใช้งานที่เป็นเด็ก จากการศึกษาพบว่าคลื่นโทรศัพท์สามารถทะลุทะลวงเข้าไปสู่สมองส่วนกลางได้มากและอาจได้รับผลกระทบได้มากกว่าผู้ใหญ่เนื่องจากเด็กมีขนาดศีรษะที่เล็ก กะโหลกบางกว่า และเนื้อเยื่อสามารถดูดคลื่นไว้ได้มากกว่า โปรแกรมที่ได้พัฒนาขึ้นนี้ยังได้ทำการยืนยันผลความถูกต้องกับค่าที่วัดได้จากการใช้กล้องอินฟราเรดที่ใช้ในการวัดความร้อนบริเวณผิวของผู้ใช้งานโทรศัพท์อีกด้วย 
ดังนั้นควรแนะนำบุตรหลานให้หลีกเลี่ยงการใช้งานโทรศัพท์ที่ไม่จำเป็น อาจใช้งานระบบแฮนด์ฟรีหรือใช้การส่งข้อความแทน ซึ่งผู้วิจัยก็มีข้อแนะนำสำหรับผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือดังนี้ 
1.หลีกเลี่ยงการใช้งานโดยไม่จำเป็น หากต้องใช้ก็ใช้ให้น้อยที่สุด 
2.หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ในที่แคบ เช่น ในรถยนต์ เนื่องจากคลื่นจะมีการสะท้อนเข้าสู่ร่างกายของผู้ใช้งานได้เป็นปริมาณมากขึ้น 
3.เวลานอนพยายามอย่าวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ตัว 
4. หากต้องพกพาโทรศัพท์มือถือ พยายามหาซองใส่หรือใส่ในกระเป๋าเพื่อลดการแพร่ของคลื่นสู่ร่างกาย 
5. พยายามใช้อุปกรณ์เสริม เช่น Small talk, Bluetooth หรือ Hand free อย่าพยายามพูดโทรศัพท์โดยยกมาแนบกับหูโดยตรง
ผลงานนี้เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวางทั้งในแวดวงอุตสาหกรรมการสื่อสารและวงการแพทย์ เนื่องจากเป็นงานแรกของประเทศไทยและเป็นงานแรก ๆ ของโลกที่ได้พิจาณาถึงผลของความร้อนที่เกิดขึ้นในบริเวณสมองจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นผลทางกายภาพที่แท้จริงที่เกิดจากอันตรกิริยาระหว่างคลื่นของโทรศัพท์มือถือต่อเนื้อเยื่อสมองที่จะเชื่อมโยงไปสู่การวิจัยในทางการแพทย์ที่จะศึกษาถึงผลในเชิงชีววิทยาที่มีต่อเซลล์สมองต่อไป และเชื่อมโยงไปสู่ภาคอุตสาหกรรมการสื่อสารที่จะนำไปใช้เป็นมาตรการในการออกแบบโทรศัพท์ให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น ผลงานนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการชั้นนำของโลกหลายรายการและล่าสุดยังได้รับรางวัล Special Prize จาก จากสมาคมนักประดิษฐ์เกาหลี (KIPA-Korea Invention Promotion Association)ที่มอบพิเศษให้กับนักประดิษฐ์ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดเพียงสองรางวัล ในงานวันนักประดิษฐ์ประจำปี 2556  จัดโดยสภาวิจัยแห่งชาติ ระหว่างวัน ที่ 2 – 5 กุมภาพันธ์ 2556 ณ ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี

 


( President ของ KIPA และ รองเลขาธิการ วช.)

คณะผู้วิจัยขอขอบคุณทุนวุฒิเมธีวิจัย และทุนพัฒนาศักยภาพอาจารย์รุ่นใหม่จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)-มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย และทุนโครงการมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ (NRU) ที่ให้การสนับสนุนการวิจัยในครั้งนี้ สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัยนี้ติดต่อได้ที่  ศ.ดร.ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช หรือเข้าไปดูรายละเอียดบทความวิจัยฉบับเต็มได้ที่นี่


อ้างอิง และ download งานวิจัยได้ที่ http://www.phadungsak.me.engr.tu.ac.th/RCME%20NEWS/NEWS16.html

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

งานเสวนาวิชาการ NBTC Public Forum ครั้งที่ 2 เรื่อง เสาส่งสัญญาน

อ่านต่อและ download เอกสารได้ที่

http://nbtc-public-forum.blogspot.com/

การบรรยาย เรื่อง “เสาสัญญาณการสื่อสาร: ความปลอดภัยหรืออันตรายสำหรับผู้บริโภค??????”

 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556 กสทช.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ได้เดินทางไป บรรยาย เรื่อง “สิทธิของผู้บริโภคที่ต้องรู้ :ความปลอดภัยด้านสุขภาพจากการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สายในยุค3G” ในเวทีสาธารณะภาคเหนือ เรื่อง “เสาสัญญาณการสื่อสาร: ความปลอดภัยหรืออันตรายสำหรับผู้บริโภค??????” ณ หอประชุมโรงเรียนเชียงคำ อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา จัดโดยเครือข่ายผู้บริโภค จ.พะเยาร่วมกับมูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา

ดูภาพบรรยากาศในงานได้ที่

http://www.nbtc.go.th/wps/portal/NTC/!ut/p/c5/hY7LDoIwEEU_aa6FUlgCVSgRxNQosCGNIUjCw4Ux8e-FuHGDzizPuTOXKpp3NM-uNY9uGk1PBVVObR-E5HnElYWTByW1dhOVWkyLmZdOHUZ-bIs9gExxMHmWmdp6QMD-pC_Lvy8j2bg7qDDVbh5sZgEf_uv-wrEyPiiLp6Ghkiqx2oNxKvumNdcX3YcCXX47vgGhYR3h/dl3/d3/L2dJQSEvUUt3QS9ZQnZ3LzZfNE83RDVQRzVJMzBUOTBJRFNTOEpJTTNJUDc!/?WCM_GLOBAL_CONTEXT=/wps/wcm/connect/library+ntc/internetsite/04newsactivi/0401pubnews/040102news/news_pub_detail/8fd55a80400896618b92cfabcb3fbcab

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คลื่น WiFi ส่งผลให้ DNA พืชมีปัญหา !!!

         การทดลองทางวิทยาศาสตร์โดยเด็กผู้หญิงมัธยมต้น 5 คนของโรงเรียน Hjallerup School ใน North Jutland ในเดนมาร์ก โดยทำการเพาะเมล็ดผัก garden cress ในสองถาด และแยกถาดทั้งสองอยู่คนละห้องแต่ปรับอุณหภูมิให้เท่ากัน ได้รับน้ำและแสงแดดในปริมาณเท่าๆกันเป็นเวลา 12 วัน

          ถาดแรกนำไว้ในห้องที่ไม่มีคลื่น Wifi ใดๆ ปรากฏว่าเมล็ดผักเติบโตตามปกติ 
ถาดที่สองนำถาดไปวางใกล้ๆกับ Wifi router 2 เครื่อง ปรากฏว่าเมล็ดผักแทบไม่เติบโต รากไม่งอก

         โดยการทดลองเรื่องดังกล่าวเริ่มต้นมาจากการตั้งสมุตติฐาน จากการสังเกตเห็นว่าถ้าหากพวกเขาหลับไปกับโทรศัพท์มือถือของพวกเขา ซึ่งโทรศัพท์มือถืออยู่ใกล้ศีรษะของพวกเขาในเวลากลางคืนพวกเขามักจะมีสมาธิสั้นเมื่ออยู่ที่โรงเรียนในวันถัดไป

แหล่งข้อมูล:
http://www.mnn.com/health/healthy-spaces/blogs/student-science-experiment-finds-plants-wont-grow-near-wi-fi-router

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีผลต่อ DNA จริงหรือไม่

นร.อิสราเอล-ไทย
พบสัญญาณไวไฟ
มีผลต่อ “ดีเอ็นเอ”
ทั้งในพืชและสัตว์
นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค  กล่าวระหว่างการร่วมเสวนากับเครือข่ายภาคประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  ร่วมกับ คณะวิทยาการสื่อสารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  วิทยาเขตปัตตานี และ เครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ ที่ จ.ปัตตานี ว่า ผู้บริโภคในยุคนี้จะต้องเรียนรู้เทคโนโลยีและบริการ เพราะต้องเท่าทัน เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก
ส่วนเรื่องความเป็นอันตรายต่อสุขภาพนั้น เท่าที่ทราบนักเรียนที่อิสราเอลได้ทดลองปลูกเมล็ดผัก 2 แปลง โดยแปลงหนึ่งมีระบบโครงข่ายไร้สาย(ไวไฟ)มาติดตั้ง กับอีกแปลงหนึ่งไม่มีไวไฟ พบว่า แปลงที่ปลูกพร้อมสัญญาณไวไฟนั้นเมล็ดผักไม่งอก ไม่เติบโต
นพ.ประวิทย์ กล่าวว่า ในประเทศ  ทางโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.ตรัง ได้ทำการศึกษาโดยเอาเร้าเตอร์ไวไฟ เปิดไว้แล้วทดลองเลี้ยงแมลงหวี่ ระหว่างแมลงหวี่ที่เลี้ยงมีสัญญาณไวไฟ กับแมลงหวี่ที่ไม่มีไวไฟ ผลการศึกษาของเด็กนักเรียนพบว่า  แมลงหวี่รุ่นที่ 4 มีปีกเล็กๆเพิ่มขึ้นมาอีก 4 ปีก ที่เรียกว่าผ่าเหล่า
“ปีกที่เคยมีอยู่เท่านี้ ก็งอกมาเพิ่ม ปลอดภัยหรือไม่ก็ต้องคิดเอา มันมีผลต่อดีเอ็นเอ ไม่ว่าพืช หรือมนุษย์  ซึ่งผู้ใช้บริการต้องระมัดระวัง และรวมไปถึงสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งไม่ควรนำไปไว้ใกล้หัวนอนตัวเอง”  นายประวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ผลการศึกษาของนักเรียนกลุ่มนี้ได้นำเสนอในการประกวด โครงการวิทยาศาสตร์ประจำปี2555 ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็คทรอนิคส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) ด้วย
 
 
แหล่งข้อมูล :

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

'คลื่นโทรศัพท์มือถือ' รู้เลี่ยง รู้ใช้ ปลอดภัย

โทรศัพท์มือถือ เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับว่า ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ไปแล้ว แต่การที่เรามีความต้องการใช้อะไรที่มากเกินไปก็มักมีผลเสียตามมาเสมอ เป็นที่มาของงานวิจัยแขนงต่างๆ ที่ชี้ว่าการใช้โทรศัพท์มือถือมาก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของมือถืออาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งหรือเนื้องอกในสมองได้ ซึ่งบางงานวิจัยเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เท็จจริงอย่างไรไม่สำคัญ ทางออกที่ดีที่สุดคือ ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อนน่าจะแน่นอนกว่า..!!!
ดร.พิเชษฐ กิจธารา อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลให้ความรู้ว่า “คลื่น” คือการเปลี่ยน แปลงกลับไปกลับมาหรือการกระเพื่อมในลักษณะที่มีการแผ่กระจายหรือเคลื่อนที่ออกจากแหล่งกำเนิด โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. คลื่นกล เป็นคลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ คลื่นประเภทนี้ก็คือ คลื่นผิวน้ำ ซึ่งเป็นการกระเพื่อมของผิวน้ำและแผ่กระจายออกไปเมื่อเราโยนก้อนหินลงไปในน้ำ จุดที่ก้อนหินกระทบผิวน้ำก็คือแหล่งกำเนิดคลื่นและตัวกลางในการเคลื่อนที่ก็คือ น้ำ และคลื่นกลอีกชนิดหนึ่งก็คือคลื่นเสียงซึ่งใช้อากาศเป็นตัวกลาง
2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นคลื่นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กสามารถเคลื่อนที่ได้ในสุญญากาศโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง (ประมาณ 300,000,000 เมตรต่อวินาที เทียบเท่ากับการเคลื่อนที่รอบโลกประมาณ 7 รอบในเวลา 1 วินาที) ตัวอย่างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เราคุ้นเคยก็คือ คลื่นวิทยุ คลื่นแสงและรังสีเอ็กซ์ (X-Ray) โดยคำว่าคลื่นและรังสี หมายถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหมือนกัน แต่เรามักใช้คำว่ารังสีกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังงานสูงมาก เช่น รังสีเอ็กซ์ (ใช้ในการเอกซเรย์ในโรงพยาบาล) และรังสีแกมม่า (Gamma-Ray ; มาจากนอกโลกและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์) เช่น แหล่งกำเนิดรังสีเอ็กซ์คือเครื่องถ่ายภาพเอกซเรย์ในโรงพยาบาล ส่วนรังสีแกมม่ามาจากนอกโลกเป็นส่วนใหญ่หรือจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
รังสีทั้ง 2 นี้มีพลังงานมากพอที่จะทำให้ยีนหรือเซลล์ในร่างกายมนุษย์เกิดความผิดปกติได้ทันทีที่ได้รับรังสี แต่โอกาสที่จะเกิดความผิดปกตินั้นน้อยมากและร่างกายมนุษย์สามารถกำจัดเซลล์ผิดปกติได้อย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงถือว่าอันตรายจากการเอกซเรย์ทั่วไปในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นน้อยมากคุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้รับจากการช่วยวินิจฉัยโรค แต่การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะทำให้เซลล์ของพนักงานที่อยู่ใกล้เกิดความผิดปกติทันทีเช่นกัน และหากได้รับปริมาณรังสีมากเกินไปก็จะทำให้ร่างกายซ่อมแซมไม่ทัน กลายเป็นมะเร็งหรือเสียชีวิตภายในเวลาไม่นาน แต่คลื่นที่มีความถี่น้อยกว่านั้น เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นอินฟราเรด คลื่นแสง คลื่นเหนือม่วง มีพลังงานน้อยกว่าและไม่ทำให้เซลล์ในร่างกายมนุษย์เกิดความผิดปกติแบบทันทีทันใด แต่สามารถทำให้เกิดอันตรายได้หากได้รับคลื่นเป็นระยะเวลานานๆ หลายปี เช่น คลื่นยูวีในแสงแดดเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งผิวหนัง
สำหรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถืออยู่ในช่วงไมโครเวฟ มีความถี่ประมาณ 800–2,500 MHz (1 MHz = 1 ล้านลูกคลื่นต่อวินาที) เป็นคลื่นที่สามารถทะลุเข้าไปในร่างกายมนุษย์หรือเนื้อเยื่อได้ง่าย (ต่างกับคลื่นแสงที่ไม่สามารถทะลุผิวหนังเข้าไปลึกๆ ได้) และเป็นช่วงคลื่นเดียวกับที่ใช้ในเตาไมโครเวฟ ถึงแม้กำลัง (อัตราพลังงานที่ใช้ต่อวินาที) ของโทรศัพท์มือถือ (1-2 วัตต์) จะน้อยกว่าของเตาไมโครเวฟ (ประมาณ 1,000 วัตต์) แต่เนื่องจากเป็นความถี่ในช่วงเดียวกัน จึงทำให้เกิดความกังวลเรื่องอันตรายจากคลื่นในช่วงนี้ขึ้นมา ซึ่งความกังวลหลักมีอยู่ 2 ประเด็นคือ คลื่นไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือทำให้เซลล์สมองเกิดความผิดปกติโดยตรงหรือไม่และความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟส่งผลทางอ้อมต่อสมองหรือไม่อย่างไร
จากผลงานวิจัยในอดีตเมื่อหลายปีก่อนนับร้อยชิ้นที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบของคลื่นไมโครเวฟต่อสมอง ซึ่งผลวิจัยมีทั้งที่เห็นว่าเป็นอันตรายและที่เห็นว่าไม่เป็นอันตรายจำนวนเท่าๆ กัน จึงไม่สามารถสรุปไปทางใดทางหนึ่งได้ แต่ อย่างไรก็ตามความผิดปกติจากคลื่นความถี่ต่ำพลังงานน้อยอย่างคลื่นไมโครเวฟนั้นเกิดขึ้นช้ามากในระยะเวลาหลายปี การศึกษาวิจัยจึงต้องใช้เวลานานหลายปีเช่นกัน ผลงานวิจัยที่น่าเชื่อถือจึงเพิ่งทยอยออกมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง ข่าวที่ทั่วโลกให้ความสำคัญในช่วงกลางปี 2011 ก็คือ ผลสรุปจากการประชุมของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก World Health Organization (WHO) ซึ่งมีสาระสำคัญๆ ดังนี้
1. การประชุมได้พิจารณาผลงานวิจัยนับร้อยชิ้นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
2. ผลงานวิจัยทั้งหมดไม่เพียงพอหรือไม่สามารถบอกได้ว่าการใช้โทรศัพท์มือถือในกรณีปกติทั่วไปทำให้เพิ่มโอกาสการเป็นเนื้องอกสมอง
3. งานวิจัยที่บ่งบอกว่าการใช้โทรศัพท์มือถือเยอะเกินไปเป็นเวลานาน (มากกว่า 30 นาทีต่อวัน เป็นเวลากว่า 10 ปี) เพิ่มโอกาสการเป็นเนื้องอกสมอง 40% มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ (ทุกคนมีโอกาสเป็นเนื้องอกสมอง แต่ถ้าคุณใช้มือถือมากเกินไป โอกาสที่คุณจะเป็นเนื้องอกมีมากขึ้น) อย่างไรก็ตามนี่เป็นงานวิจัยเพียง 1 ชิ้นที่จะต้องรองานวิจัยจากกลุ่มอื่นยืนยันต่อไป
4. ที่ประชุมจัดให้คลื่นไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยที่อยู่ในกลุ่ม 2B คือหมายถึงกลุ่มที่อาจจะเพิ่มโอกาสการเป็นเนื้องอกสมอง (possibly carcinogenic to humans) ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับเครื่องสำอางบางชนิด
โดยทาง International Agency for Research on Cancer (IARC) แบ่งกลุ่มปัจจัยก่อมะเร็งเป็น 4 กลุ่มด้วยกันคือกลุ่มที่ 1 ก่อมะเร็งชัดเจน (definitely carcinogenic to humans) ต้องหลีกเลี่ยง กลุ่มที่ 2A น่าจะก่อมะเร็ง (probably carcinogenic to humans) ควรหลีกเลี่ยง กลุ่มที่ 2B อาจจะก่อมะเร็ง (possibly carcinogenic to humans) พึงระวัง หรือยึดปลอดภัยไว้ก่อน กลุ่มที่ 3 ไม่สามารถจำแนกได้ (not classifiable as to its carcinogenicity to humans) และกลุ่มที่ 4 ไม่น่าจะก่อมะเร็ง (probably not carcinogenic to humans)
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยสำคัญอื่นๆ อีก ถึงแม้งานวิจัยเหล่านี้ยังมีจำนวนน้อยชิ้นแต่เป็นงานวิจัยที่ควรติดตามเพื่อยืนยันต่อไป เช่น ยังไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟมีน้อยและไม่กระทบสมองโดยตรง กระแสเลือดในสมองสามารถระบายความร้อนได้ดี แต่ความร้อนต่อดวงตายังต้องรอการวิจัยต่อไป เพราะภายในดวงตาไม่มีเส้นเลือดคอยระบายความร้อน งานวิจัยบางชิ้นบ่งบอกว่าคลื่นไมโครเวฟทำให้พูดช้าลง รบกวนการเต้นของหัวใจ รบกวนความจำ เพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งช่องปาก แต่ทั้งหมดยังไม่ยืนยัน เนื้อสมองที่อยู่ใกล้โทรศัพท์ขณะสนทนาใช้ปริมาณน้ำตาลกลูโคสมากขึ้น แต่ไม่สามารถเชื่อมโยงว่าทำให้ก่อมะเร็งหรือไม่
ในเมื่อผลการวิจัยต่างๆ ยังไม่ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าโทรศัพท์มือถือปลอดภัยหรือไม่ เราควรยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อนโดยการปฏิบัติดังนี้ หลีกเลี่ยงการคุยโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน (ควรน้อยกว่า 30 นาทีต่อวัน และคุยสั้นๆ ในแต่ละครั้ง) หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือในลิฟต์หรือในรถยนต์ เพราะลิฟต์และรถยนต์ทำด้วยโลหะที่ไปลดพลังงานของคลื่นที่จะส่งไปยังสถานีโทรศัพท์ (เสาโทรศัพท์ตามยอดตึกต่างๆ) เมื่อถูกลดสัญญาณเครื่องโทรศัพท์จะเพิ่มกำลังส่งคลื่นให้มากขึ้นเพื่อให้ความแรงของคลื่นเท่าเดิม ซึ่งจะทำให้คลื่นเข้าสมองท่านมากขึ้น (คนรอบข้างท่านในลิฟต์และในรถก็จะได้รับคลื่นมากขึ้นไปด้วย) พลังงานของคลื่นลดลงตามระยะทางที่เคลื่อนที่ตามกฎผกผันกำลังสอง (หากเพิ่มระยะทาง 10 เท่า กำลังของคลื่นจะลดลง 102=100 เท่า) ดังนั้นการใช้หูฟังหรือการใช้สปีกโฟนหรือบลูทูธจะทำให้ระยะระหว่างสมองและมือถือเพิ่มมากขึ้นช่วยลดพลังงานของคลื่นได้ดีมาก หรือจะใช้วิธีการส่งข้อความแทนการคุยโทรศัพท์มือถือก็ช่วยลดความเสี่ยงได้
ที่สำคัญไม่ควรให้เด็กใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป เพราะกะโหลกศีรษะช่วยป้องกันคลื่นได้บางส่วน แต่กะโหลกศีรษะของเด็กมีความหนาน้อยกว่าของผู้ใหญ่ ดังนั้นไม่ควรให้เด็กใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป และไม่ควรนอนตะแคงคุยโทรศัพท์โดยมีโทรศัพท์ใต้ศีรษะ เพราะโทรศัพท์จะอยู่ระหว่างหมอนและศีรษะขณะสนทนา ทำให้มือถือเพิ่มกำลังการส่งคลื่นและทำให้เราได้รับคลื่นมากขึ้น การใช้มือถือที่มี Radiation น้อย แต่โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่มีการออกแบบเสาอากาศดีกว่าสามารถลดกำลังส่งได้เมื่อเทียบกับรุ่นเก่าๆ และก่อนนอนควรปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นรวมทั้ง ปิด Modem WiFi เพราะนอกจากจะลดอันตรายที่อาจจะมีจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแล้วยังช่วยลดโลกร้อนด้วย
ไม่ว่าจะมีวิธีแก้หรือลดความเสี่ยงอย่างไรก็ตาม การรู้จักความพอดีในการใช้โทรศัพท์มือถือน่าจะเป็นหลักสำคัญ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพแล้วยังไม่ต้องจ่ายค่าบริการที่มากตามไปด้วย และคงจะไม่คุ้มถ้าต้องเสียเงินจ่ายทั้งค่าบริการโทรศัพท์และค่ารักษาพยาบาลสุขภาพควบคู่กันไปเพียงแค่ต้องการคุยโทรศัพท์นานๆ เท่านั้นเอง
อันตรายอื่นๆ และสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ 'คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า'
เสาของสถานีโทรศัพท์ อาจจะเป็นอันตรายก็ต่อเมื่อท่านอยู่ใกล้เสามากๆ ในระยะไม่กี่เมตร หากอยู่ไกลเกินกว่า 10 เมตรจะได้รับพลังงานน้อยมาก นอกจากนี้คลื่นส่วนใหญ่จะแผ่กระจายออกทางด้านข้างของเสา ดังนั้นผู้อาศัยในตึกหรือใต้ตึกที่ติดตั้งเสาโทรศัพท์ไม่น่าจะได้รับอันตราย อย่างไรก็ตาม หากตึกข้างๆ ท่านติดตั้งเสาโทรศัพท์ (หรือเสาทีวี วิทยุ อื่นๆ) ในระดับความสูงเดียวกับห้องชุดคอนโดของท่านและเสานั้นห่างจากห้องของท่านเพียงไม่กี่เมตร ควรพิจารณาหลีกเลี่ยงการอาศัยในห้องดังกล่าว
สายส่งไฟฟ้าแรงสูง จัดอยู่ในกลุ่ม 2B เช่นเดียวกับโทรศัพท์มือถือ งานวิจัยบางชิ้นบ่งบอกว่าเด็กที่อาศัยใกล้สายส่งไฟฟ้าแรงสูง มีโอกาสเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มากขึ้น นอกจากนี้ผู้ป่วยบางท่านมีอาการปวดศีรษะ ปวดไมเกรนหรือนอนหลับยากเมื่ออาศัยอยู่ใกล้สายส่งไฟฟ้าแรงสูง แม้จะยังมีหลายงานวิจัยที่มีความเห็นขัดแย้ง แต่หากยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน ควรหลีกเลี่ยงสายส่งไฟฟ้าแรงสูง หลีกเลี่ยงห้องในอาคารชุดคอนโดที่อยู่ติดสายส่งไฟฟ้าหรือหม้อแปลงขนาดใหญ่
คลื่นไมโครเวฟจากมือถือ รบกวนการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้จริง ควรปิดมือถือเมื่ออยู่บนเครื่องบินหรือเมื่อท่านยืนติดกับเครื่องมือทางการแพทย์
“ในเมื่อผลการวิจัยต่างๆ ยังไม่ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า โทรศัพท์มือถือปลอดภัยหรือไม่ เราควรยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อนโดยหลีกเลี่ยงการคุยโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือในลิฟต์หรือในรถยนต์…”


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

แหล่งข้อมูล :
http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/23939