วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

ประเภทของคลื่นวิทยุ


องค์ประกอบของคลื่น แบ่งออกเป็น 4 องค์ประกอบด้วยกัน คือ คลื่นผิวดิน (SURFACE WAVE ) คลื่นตรง ( DIRECT WAVE ) คลื่นสะท้อนดิน ( GROUND REFLECTED WAVE ) และคลื่นหักเหโทรโปสเฟียร์ (REFLECTED TROPOSPHERIC WAVE )
  1. คลื่นผิวดิน หมายถึง คลื่นที่เดินตามไปยังผิวโลกอาจเป็นผิวดิน หรือผิวน้ำก็ได ้ พิสัยของการกระจายคลื่นชนิดนี้ขึ้นอยู่กับค่าความนำทางไฟฟ้าของผิวที่คลื่นนี้เดินทางผ่านไป เพราะค่าความนำจะเป็นตัวกำหนดการถูกดูดกลืนพลังงานของคลื่นผิวโลก การถูกดูดกลืนของคลื่นผิวนี้จะเพิ่มขึ้นตามความถี่ที่สูงขึ้น
  2. คลื่นตรง หมายถึง คลื่นที่เดินทางออกไปเป็นเส้นตรงจากสายอากาศ ส่งผ่านบรรยากาศตรงไปยังสายอากาศรับโดยมิได้มีการสะท้อนใด ๆ
  3. คลื่นสะท้อนดิน หมายถึง คลื่นที่ออกมาจากสายอากาศ ไปกระทบผิวดินแล้วเกิดการสะท้อนไปเข้าที่สายอากาศรับ
  4. คลื่นหักเหโทรโปสเฟียร์ หมายถึง คลื่นหักเหในบรรยากาศชั้นต่ำของโลกที่เรียกว่า โทรโปสเฟียร์ การหักเหนี้มิใช่เป็นการหักเหแบบปกติที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นของชั้นบรรยากาศของโลกกับความสูง แต่เป็นการหักเหที่เกิดการเปลี่ยนแปลงความหนาแน่นของชั้นบรรยากาศอย่างทันทีทันใด และไม่สม่ำเสมอของความหนาแน่นและในความชื้นของบรรยากาศ ได้แก่ ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า อุณหภูมิแปรกลับ
คลื่นผิวดิน ( Surface wave propagation )
เป็นคลื่นที่แพร่กระจายออกจากสายอากาศโดยผิวพื้นดินเป็นสื่อนำ คลื่นผิวดินจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสายอากาศของเครื่องส่งจะต้องอยู่ใกล้ชิดกับพื้นดิน ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อความถี่ในย่าน VLF , LF และ MF การแพร่กระจายคลื่นชนิดนี้ สามารถแพร่กระจายได้ระยะทางไกลมาก ส่วนย่าน VHF , UHF ก็สามารถที่จะแพร่กระจายคลื่นชนิดนี้ได้ เช่นกัน แต่ระยะทางติดต่อไม่ไกลนัก เพราะค่าคุณสมบัติทางไฟฟ้าของพื้นดินจะมีผลต่อความถี่สูง ๆ เป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้เกิดความสูญเสียกำลังไปในพื้นดิน นั่นคือ เมื่อคลื่นแพร่ผ่านผิวดินไป เส้นแรงของสนามไฟฟ้าของคลื่นจะเหนี่ยวนำให้เกิดประจุไฟฟ้าเกิดขึ้นบนดิน ทำให้เกิดกระแสไหลในดินขึ้น และเนื่องจากพื้นดินมิใช่เป็นตัวนำสมบูรณ์แบบ ทำให้มีความต้านทานเกิดขึ้นเป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียกำลัง ( I2R) ขึ้น
คลื่นตรง ( Direct wave propagation )
คลื่นตรงมีลักษณะการแพร่กระจายคลื่นวิทยุเหมือนกับการเดินทางของแสง คือ พุ่งเป็นเส้นตรง และการกระจายคลื่นชนิดนี้จะอยู่ในระดับสายตา ( line of sight )การกระจายคลื่นชนิดนี้จะมีการถ่าง ของ Radio beam และมีการแตกกระจายหรือสะท้อนได้ เมื่อพบกับสิ่งกีดขวาง เช่น ตึก ภูเขา โดยที่ระยะทางของการแพร่กระจายคลื่นจะมากหรือน้อยนั้นต้องขึ้นอยู่กับความสูงของสายอากาศเป็นสำคัญ การแพร่กระจายคลื่นชนิดนี้ จะมีผลต่อการแพร่กระจายคลื่น ในย่านความถี่ที่สูงกว่าย่าน VHF ขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่ จะใช้ความถี่ในย่านที่สูงกว่า UHF ขึ้นไป เนื่องจากการใช้ความถี่ในย่าน VHF และ UHF (LOW BAND ) จะมีการสะท้อนบนพื้นดินด้วย ( reflection propagation ) เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
แบ่งการแพร่กระจายออกเป็น 2 แบบ คือ
2.1 การแพร่กระจายเป็นแนวโค้ง เนื่องจากการเบี่ยงเบนในชั้นบรรยากาศ ( Refraction Propagation )
2.2 การแพร่กระจายคลื่นไปยังด้านที่มองไม่เห็นในระยะสายตา ( Diffraction Propagation )

ข้อมูลจาก
http://banana5454.wordpress.com/author/banana5454/
 

การเเพร่กระจายของคลื่นวิทยุ


คลื่นวิทยุที่แพร่กระจายออกจากสายอากาศนั้น จะมีการแพร่กระจายออกไปทุกทิศทางคลื่นวิทยุเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ที่สามารถเดินทางไปด้วยความเร็วเท่ากับแสง แต่อย่างไรก็ดีคลื่นวิทยุที่มีความถี่ไม่เท่ากันคุณสมบัติในการแพร่กระจายคลื่น ก็ไม่เหมือนกันในพื้นที่ไกลออกไปสัญญาณที่เครื่องรับจะรับได้ก็อ่อนลงๆไปเรื่อย ๆ

Surface wave หรือ ground wave

คลื่นดิน เป็นคลื่นวิทยุที่เดินทางไปบนผิวโลก เราสามารถใช้คลื่นดิน ในการติดต่อสื่อสารย่าน LF และ MF ปกติคลื่นดินมีความยาวคลื่นที่ยาวมาก จะเดินทางไปได้ไกล กว่า (losses rise with increasing frequency) และจะเดินทางไปไดัไกลกว่าระยะขอบฟ้า คลื่นดินที่ความถี่สูง ๆ จะไปไม่ได้ไกล เพราะถูกลดทอนมาก เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศ และสิ่งกีดขวาง เห็ตผลก็คือเมื่อความถี่สูงขึ้น ความยาวคลื่นก็จะสั้นลง วัตถุใหญ่ อย่างเช่น ภูเขาจึงมีผลต่อการแพร่กระจายคลื่น เช่นที่ความถี่ 30 KHz ความยาวคลื่นจะเท่ากับ 10 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับภูเขาแล้ว ภูเขายังเล็กกว่าความยาวคลื่น ฉนั้น การลดทอนจึงมีน้อย แต่ที่ความถี่ 3 MHz ความยาวคลื่นเท่ากับ 100 เมตร วัตถุที่ใหญ่กว่าความยาวคลื่น เช่น เนินเขา ตึกรามบ้านช่อง จะเริ่มมีผลในการลดทอนสัญญาณ
จะเห็นว่าคลื่นฟ้า ค่อย ๆ หักเหหลับมายังพื้นโลก มิใช่การหักแบบหักมุม แต่เพื่อความสะดวกเราสมมุติว่า คลื่นสะท้อนได้ ตามเส้นประ เราเรียกว่าสูงนี้ว่า ความสูงเสมือน (virtual height) ความสูงเสมือนนี้สามารถหาได้จาก การยิงพลัชความถี่ต่าง ๆ ไปตรง ๆ ในแนวดิ่ง โดยเครื่อง ionosonde (ionospheric sounder)
การติดต่อสื่อสารแบบ คลื่นฟ้านี้ค่อนข้างจะซับซ้อนเนื่องจาก ชั้นไอโอโนสเพียร์ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากรูปจะเห็นว่าคลื่นฟ้า ค่อย ๆ หักเหหลับมายังพื้นโลก มิใช่การหักแบบหักมุม แต่เพื่อความสะดวกเราสมมุติว่า คลื่นสะท้อนได้ ตามเส้นประ เราเรียกว่าสูงนี้ว่า ความสูงเสมือน (virtual height) ความสูงเสมือนนี้สามารถหาได้จาก การยิงพลัชความถี่ต่าง ๆ ไปตรง ๆ ในแนวดิ่ง โดยเครื่อง ionosonde (ionospheric sounder)
Digisonde TM Portable Sounder
และให้คลื่นสะท้อนกลับมา ยังโลก เมื่อส่งคลื่นความถี่สูงขึ้น จนถึงค่าหนึ่ง คลื่นจะไม่สะท้อนกลับมา ความถี่สูงสุดที่สะท้อนกลับมา เราเรียกว่า ความถี่ วิกฤต (critical frequency หรือ vertical incidence) ความถี่นี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามชั้น ไอโอโนสเพียร์ ซึ่งไม่แน่นอน
จากรูป เราจะเห็นได้ว่า เมื่อมุมยิงต่ำลง ระยะทางการติดต่อสื่อสารจะได้ไกลขึ้น ระยะทางนี้จะเรียกว่าระยะ Skip (Skip distances) ระยะนี้จะไกลที่สุดก็ต่อเมื่อ ใช้มุมยิงต่ำสุด และใช้ความถี่สูงสุดที่จะหักเหมุมนั้น
จากรูป เราจะเห็นได้ว่า เมื่อมุมยิงต่ำลง ระยะทางการติดต่อสื่อสารจะได้ไกลขึ้น ระยะทางนี้จะเรียกว่าระยะ Skip (Skip distances) ระยะนี้จะไกลที่สุดก็ต่อเมื่อ ใช้มุมยิงต่ำสุด และใช้ความถี่สูงสุดที่จะหักเหมุมนั้น
ความถี่ที่สามารถใช้ติดต่อ ระหว่างจุด 2 จุดเรียกว่า ความถี่ใช้งานสูงสุด (maximum usable frequency หรือ MUF ) ความจริงแล้ว ความถี่ต่ำกว่า MUF ก็ใช้ได้ เพราะคลื่นสามารถที่จะหักเหลงมาได้ เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อความถี่ต่ำลง อัตราการลดทอนของชั้น ไอโอโนสเพียร์ จะเพิ่มขึ้นมาก ระดับสัญญาณที่รับได้จึงลดลง ความถี่ต่ำสุดที่สามารถติดต่อได้เราเรียกว่า ความถี่ใช้งานต่ำสุด (Lowest Usable Frequencies หรือ LUF) ถ้าความถี่ต่ำกว่า LUF จะรับสัญญาณไม่ได้ เพราะถูกลดทอนหมด ถ้าใช้ความถี่สูงกว่า MUF ก็จะรับไม่ได้เพราะจะทะลุฟ้าไปหมด ฉนั้นความถี่ที่ดีที่สุดคือ MUF
MUF จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ตามการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ เช่น ช่วงเวลาของวัน ฤดูกาล เป็นต้น ดังนั้นเราจึงควรเลือกความถี่ที่พอเหมาะ (Optimum Usable Frequency หรือว่า OUF) คือให้ต่ำกว่า MUF ลงมาพอที่จะให้ระดับสัญาณไม่กระเพื่อมมากนัก ในแต่ละนาที (ถ้ารับสัญญาณตรงความถี่ MUF พอดี สัญญาณจะกระเพื่อม เดียวแรงเดียวอ่อน)

ข้อมูลจาก
http://banana5454.wordpress.com/author/banana5454/

คลื่นไมโครเวฟ (microwave)

เป็นคลื่นความถี่วิทยุชนิดหนึ่งที่มีความถี่อยู่ระหว่าง 0.3GHz – 300GHz ส่วนในการใช้งานนั้นส่วนมากนิยมใช้ความถี่ระหว่าง 1GHz – 60GHz เพราะเป็นย่านความถี่ที่สามารถผลิตขึ้นได้ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ลักษณะของคลื่นวิทยุไมโครเวฟ
  • เดินทางเป็นเส้นตรง
  • สามารถหักเหได้ (Refract)
  • สามารถสะท้อนได้ (Reflect)
  • สามารถแตกกระจายได้ (Diffract)
  • สามารถถูกลดทอนเนื่องจากฝน (Attenuate)
  • สามารถถูกลดทอนเนื่องจากชั้นบรรยากาศ
ข้อดีในการใช้วิทยุไมโครเวฟในการสื่อสาร
  • คุณสมบัติการกระจายคลื่นไมโครเวฟคงที่
  • ทิศทางของสายอากาศเป็นแนวพุ่งตรงไปในทิศทางที่ต้องการ
  • อัตราขยายสัญญาณของสายอากาศสูง
  • ปลอดภัยจากการเกิดภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว
  • การรบกวนที่เกิดจากมนุษย์ทำขึ้นมีน้อย เช่น อุบัติเหตุ การก่อสร้าง ไฟไหม้
การสื่อสารไมโครเวฟ
การสื่อสารไมโครเวฟ วิธีที่นิยมใช้กันมากก็คือการสื่อสารในระดับสายตา ใช้ในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารในปริมาณมากๆ เส้นทางในการสื่อสารนี้จะประมาณ 50-80 กิโลเมตร และไม่มีสิ่งกีดขวาง แต่ถ้าต้องการสื่อสารในระยะไกลกว่านี้ จะต้องมีสถานีทวนสัญญาณเพื่อ ให้รับสัญญาณและทำการขยายแล้วส่งสัญญาณต่อไป จนถึงปลายทางได้

รูปภาพประกอบคลื่นไมโครเวฟ










อ้างอิง
  • Pozar, David M. (1993). Microwave Engineering Addison-Wesley Publishing Company. ISBN 0-201-50418-9.
ข้อมูลจาก
http://banana5454.wordpress.com/author/banana5454/

คลื่นวิทยุ ความเป็นมา การจัดสรร และการบำรุงรักษา

คลื่นวิทยุ
เครื่องส่งวิทยุจะแปลงสัญญาณเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้าโดยใช้ไมโครโฟน และแปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นคลื่นวิทยุโดยใช้เสาอากาศเป็นตัวแพร่กระจายคลื่นวิทยุเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ไม่เกิน ๓๐๐ กิกะเฮิรตซ์ (หนึ่งกิกะเฮิรตซ์เท่ากับหนึ่งพันล้านรอบต่อวินาที) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงกว่านี้จะเป็น คลื่นอินฟาเรด คลื่นแสง คลื่นอัลตราไวโอเลตและรังสีเอกซ์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีคุณสมบัติทางแม่เหล็ก และคุณสมบัติทางไฟฟ้าพร้อมๆ กันการแผ่กระจายของคลื่นก็คล้ายกับการแผ่กระจายของคลื่นน้ำบนผิวน้ำขณะเมื่อมีวัตถุตกกระทบผิวน้ำนั้น
คลื่นที่แพร่กระจายนั้นอาจเขียนแทนด้วยสมการคณิตศาสตร์ได้เป็น Acos (2pt-2pc/c) โดยที่ แทนความถี่ของคลื่น c เป็นความเร็วในการกระจายของคลื่น A คือแอมปลิจูด (amplitude) t แทนเวลา และ c แทนตำแหน่งสถานที่
เราอาจวาดกราฟของคลื่นได้สองลักษณะคือ กราฟที่มี c เป็นตัวแปร ขณะที่เวลาเป็นตัวคงที่จะเป็นกราฟของคลื่นในขณะใดขณะหนึ่ง แสดงถึงค่าของคลื่นในตำแหน่งต่างๆ เสมือนเป็นภาพถ่ายของคลื่น และกราฟที่มีเวลาเป็นตัวแปร โดย c เป็นตัวคงที่ แสดงถึงค่าของคลื่นที่ตำแหน่งใด ตำแหน่งหนึ่ง ว่าเปลี่ยนแปลงตามเวลาอย่างไรรูปกราฟทั้งสอง แสดงไว้ในภาพประกอบ ภาพแรกแสดงค่าของคลื่นที่เวลาสองขณะ เมื่อเวลาล่วงเลยไปคลื่นจะเคลื่อนที่ไปทางขวาดังแสดงไว้ด้วยลูกศร ภาพที่สองแสดงค่าของคลื่นที่เปลี่ยนตามเวลา ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง รูปทั้งสองมีลักษณะเป็นรูปโคไซน์ (cosine) แอมปลิจูดคือ
ค่าสูงสุดของคลื่น ความถี่คือจำนวนรอบของคลื่น ในหนึ่งวินาที มีหน่วยเป็นรอบต่อวินาทีหรือเฮิรตซ์ (Hertz ย่อว่า Hz) ความเร็วของคลื่นเป็นความเร็วในการแผ่กระจายมีหน่วยเป็นเมตรต่อวินาทีความเร็วของคลื่นวิทยุในอวกาศมีค่าประมาณสามแสนกิโลเมตรต่อวินาที ความยาวคลื่นหมายถึงระยะทางที่คลื่นจะบรรจบมาที่ค่าเดิมครบหนึ่งรอบซึ่งเท่ากับระยะจากจุดต่ำสุดหนึ่งไปยังจุดต่ำสุดต่อไป ความยาวคลื่น (แทนด้วย l) สัมพันธ์กับความถี่ดังนี้

l
= c/f

กล่าวคือ ความยาวคลื่นเท่ากับความเร็วคลื่นหารด้วยความถี่ของคลื่น ส่วนคาบของคลื่นคือระยะเวลาที่ค่าของคลื่น (ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง) บรรจบมาครบหนึ่งรอบ คาบจะมีหน่วยเป็นวินาที และมีค่าเท่ากับหนึ่งหารด้วยความถี่ดังเช่น สถานีวิทยุแห่งหนึ่งกระจายเสียงด้วยความถี่ ๘๐๐ กิโลเฮิรตซ์ (หนึ่งกิโลเฮิรตซ์คือหนึ่งพันเฮิรตซ์) ความยาวคลื่นของคลื่นวิทยุจากสถานีนี้มีค่าประมาณ ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐/๘๐๐,๐๐๐ = ๓๗๕ เมตร และคาบของคลื่นเดียวกันมีค่า ๑/๘๐๐,๐๐๐ วินาที หรือ ๑.๒๕ ไมโครวินาที(หนึ่งไมโครวินาทีเท่ากับหนึ่งส่วนล้านวินาที)
คลื่นวิทยุเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กล่าวคือเป็นคลื่นที่มีคุณสมบัติทางแม่เหล็กและคุณสมบัติทางไฟฟ้าพร้อมๆ กัน ความเข้าของสนามแม่เหล็ก (แทนด้วย B) และสนามไฟฟ้า (แทนด้วย E) นั้นจะตั้งฉากกัน โดยมีทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นที่ตั้งฉากกับสนามทั้งสอง ดังแสดงในภาพประกอบ เมื่อคลื่นแผ่กระจายไปไกลขึ้น ความเข้มของสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าก็จะลดลง ดังนั้น เครื่องรับที่อยู่ห่างไกลจะได้รับสัญญาณที่ค่อยกว่าเครื่องรับที่อยู่ใกล้ กำลังของคลื่นจะแปรผกผันกับกำลังสองของระยะทาง กล่าวคือ ถ้า P วัตต์ เป็นกำลังของคลื่นวิทยุที่ส่งออกจากเสาอากาศออกไปรอบทิศ ณ จุดที่ห่างจากเสาอากาศ d เมตร จะได้รับคลื่นที่มีกำลังเท่ากับ P(4pd2) วัตต์ต่อตารางเมตร
เมื่อสัญญาณไฟฟ้าส่งผ่านเสาอากาศ จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่กระจายออกไป ในทางตรงข้าม ถ้าหากเรานำเสาอากาศไปไว้ในคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลในเสาอากาศนั้นได้ ดังนั้น เครื่องรับวิทยุจึงมีเสาอากาศ ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสัญญาณไฟฟ้า สัญญาณไฟฟ้านี้มักจะมีความแรงที่ต่ำมากต้องขยายให้มีความแรงมากขึ้น แล้วจึงถูกนำไปขับตัวลำโพงที่ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าเป็นคลื่นเสียงให้ผู้รับฟังได้ยิน

การแผ่กระจายของคลื่นวิทยุมีหลายลักษณะขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่นลักษณะที่สำคัญมีสามแบบ คือ
แบบที่หนึ่ง คลื่นจะแผ่กระจายขนานไปกับพื้นผิวโลก (ground-wavepropagation) สามารถเดินทางไปในระยะไกลได้ คลื่นที่แผ่กระจายแบบนี้จะเป็นคลื่นที่มีความถี่ไม่เกินประมาณ ๒ เมกะเฮิรตซ์ (หนึ่งเมกะเฮิรตซ์เท่ากับหนึ่งล้านเฮิรตซ์) ดังเช่น คลื่นวิทยุกระจายเสียงระบบเอเอ็ม
แบบที่สอง จะเป็นการสะท้อนจากชั้นบรรยากาศ เรียกว่า แผ่กระจายโดยคลื่นฟ้า (sky-wave propagation) การสะท้อนคลื่นเป็นคุณสมบัติของชั้นบรรยากาศ ความถี่ที่ชั้นบรรยากาศสะท้อนลงมาอยู่ในช่วงประมาณ ๒ เมกะเฮิรตซ์ ถึงประมาณ ๓๐ เมกะเฮิรตซ์ อนึ่ง การสะท้อนคลื่นของชั้นบรรยากาศในตอนกลางวันและกลางคืนอาจแตกต่างกันบ้าง บางความถี่จะสะท้อนเฉพาะกลางคืน คุณสมบัติของการสะท้อนคลื่นจะแปรเปลี่ยนตามปริมาณประจุที่เกิดขึ้น (ionization) ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งขึ้นอยู่กับพลังจากแสงอาทิตย์เป็นหลัก ในบางครั้งที่มีพายุพลังอาทิตย์ (solar wind) คุณสมบัติของชั้นบรรยากาศก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้มากวิทยุสมัครเล่นและวิทยุกระจายเสียงข้ามประเทศ คลื่นสั้น (short wave) จะใช้ความถี่ในย่านนี้ ทำให้ผู้รับที่อยู่ห่างไกลสามารถรับฟังได้ เพราะมีการสะท้อนคลื่นโดยชั้นบรรยากาศหนึ่งครั้งหรือมากกว่าหนึ่งครั้งก็ได้
แบบที่สาม จะเป็นการแผ่กระจายโดยตรงเรียกว่า การแผ่กระจายในแนวสายตา (line-of-sight propagation) กล่าวคือจุดที่รับคลื่นได้คือ จุดที่มองเห็นได้จากเสาอากาศของเครื่องส่ง การกระจายคลื่นแบบนี้จะไม่สามารถรับจากจุดบนพื้นโลกที่มีระยะทางไกลเนื่องจากความโค้งของพื้นผิวโลกบังเอาไว้

นอกจากนี้ ความชื้นในอากาศและชั้นบรรยากาศสามารถดูดซึมพลังงานของคลื่นวิทยุได้ บางความถี่จะถูกดูดซึมมากกว่าความถี่อื่นๆ ดังนั้น เมื่อลักษณะอากาศเปลี่ยนไป คุณภาพการรับสัญญาณวิทยุก็อาจจะแตกต่างกันไปด้วย
การนำระบบวิทยุมาใช้งานจึงต้องคำนึงถึงความถี่ให้เหมาะสม ดังเช่น การติดต่อกับดาวเทียมหรือยานอวกาศ จำเป็นต้องใช้ความถี่ที่สามารถทะลุชั้นบรรยากาศได้
แถบความถี่ต่างๆ ของคลื่นวิทยุมีชื่อเรียกและมีคุณสมบัติต่างกัน ดังสรุปไว้ในตารางประกอบ

ความเป็นมาของระบบวิทยุ
ในคริสต์ศักราชที่ ๑๙ นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษชื่อ เจมส์ เคลิก แมกซ์เวลล์ (James Clerk Maxwell) ได้ทำการศึกษาคุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและได้ตีพิมพ์บทความในปี ค.ศ. ๑๘๖๔ กล่าวถึง กฎพื้นฐานของคลื่นแม่เหล็ก-ไฟฟ้าอย่างกระทัดรัด โดยเขียนในรูปของสมการคณิตศาสตร์ สมการเหล่านี้เป็นพื้นฐานของวิชา ดังกล่าว และยังใช้กันตราบจนทุกวันนี้ ปัจจุบันสมการเหล่านี้ เรียกว่า สมการของแมกซ์เวลล์อย่างไรก็ดี แมกซ์เวลล์ไม่ได้ทำการทดลองที่สนับสนุนทฤษฎีของเขา ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๘๘๗ นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ ไฮน์ริช เฮิรตซ์ (Heinrich Hertz) ได้ทำการทดลองการส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าผ่านอากาศ การทดลองมีเครื่องส่งและเครื่องรับเครื่องส่งประกอบด้วยแหล่งกำเนิดไฟฟ้าต่อผ่านขดลวดเหนี่ยวนำ ไปยังลวดที่มีสองปลายติดกับทรงกลมที่มีช่องว่างห่างกันเล็กน้อย เมื่อป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าไปมากพอก็จะเกิดประกายไฟขึ้นตรงช่องว่าง ประกายไฟนี้ ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากระจายออกไปรอบทิศ ส่วนเครื่องรับจะประกอบด้วยลวดวงกลมมีสองปลายติดกับทรงกลม ซึ่งมีช่องว่าง ระหว่างทรงกลมเล็กน้อยเช่นเดียวกับเครื่องส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ตัดผ่านภายในขดลวดของเครื่องรับ จะเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหล ในขดลวดของเครื่องรับ เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความแรงเพียงพอ ก็จะทำให้เกิดประกายไฟระหว่างทรงกลมทั้งสองของเครื่องรับ การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า เราสามารถส่งสัญญาณจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้โดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และไม่ต้องใช้สายต่อเชื่อมระหว่างเครื่องส่งและเครื่องรับเลย
ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๘๙๔ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอังกฤษชื่อ โอลิเวอร์ ลอดจ์ (Oliver Lodge)ได้แสดงการส่งสัญญาณโดยไม่ใช้สายเป็นระยะทาง ๑๕๐ หลา และในปี ค.ศ. ๑๘๙๕ กุกลิเอลโม มาร์โคนี (Guglielmo Marconi) ชาวอิตาเลียน ได้ส่งสัญญาณแบบไร้สายเป็นระยะทาง ๒ กิโลเมตร มาร์โคนี ได้ตั้งบริษัทขึ้นมา และได้ทำการทดลองส่งสัญญาณแบบไร้สายเป็นระยะทางเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนถึงปี ค.ศ. ๑๙๐๑ เขาก็สามารถส่งสัญญาณคลื่นวิทยุข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้เป็นครั้งแรก
การพัฒนาระบบวิทยุได้ก้าวหน้ามาเป็นลำดับ ควบคู่กับการพัฒนาอุปกรณ์และระบบให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น ดังเช่น การประดิษฐ์หลอดไดโอดสุญญากาศ โดยชาวอังกฤษ ชื่อ จอห์น เฟลมมิ่ง (John A. Fleming) และหลอดไตรโอดสุญญากาศโดยชาวอเมริกัน ชื่อ ลี เดอร์ฟอเรสต์ (Lee De Forest) หลอดสุญญากาศทั้งสองนี้เป็นชิ้นส่วนอันเป็นหัวใจของเครื่องรับส่งวิทยุ ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๔๐ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอเมริกันชื่อ รัสเซล โอล์ (RussellOhl) ได้ประดิษฐ์ไดโอดที่ใช้สารกึ่งตัวนำ และในปี ค.ศ. ๑๙๔๘ นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ๓ คนคือวิลเลียม ช็อกเล่ (William B. Shockley) จอห์น บาร์ดีน (John Bardeen) และวอลเตอร์ แบรทเท็น (Walter H. Brattain) ได้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ขึ้นปัจจุบัน เครื่องรับส่งวิทยุส่วนมากใช้ไดโอดและทรานซิสเตอร์ที่ทำจากสารกึ่งตัวนำ เพราะกินไฟน้อยและสามารถทำให้เล็กกระทัดรัดได้
ระบบวิทยุในระยะแรกๆ นั้นใช้วิธีการส่งแบบเอเอ็ม (AM) ซึ่งจะได้กล่าวถึงเพิ่มเติมภายหลังต่อมา วิศวกรไฟฟ้าชาวอเมริกันชื่อ เอ็ดวิน อาร์มสตรอง (Edwin Armstrong) ได้คิดค้นวิธีส่งแบบเอฟเอ็ม (FM) ขึ้น ซึ่งเขาได้แสดงให้เห็นการทำงานของระบบนี้ในปี ค.ศ. ๑๙๓๓ ปัจจุบันวิทยุกระจายเสียงจะมีทั้งระบบเอเอ็มและระบบเอฟเอ็ม สัญญาณภาพของโทรทัศน์จะส่งโดยระบบเอฟเอ็ม และสัญญาณเสียงของโทรทัศน์จะใช้ระบบเอฟเอ็มเช่นกัน ระบบโทรทัศน์ขาวดำได้รับการพัฒนาขึ้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ โดยชาวรัสเซียที่อพยพไปประเทศสหรัฐอเมริกาชื่อวลาดิเมียร์ เค ซโวรีคิน (Vladimir K.Zworykin) ซึ่งได้ประดิษฐ์ระบบโทรทัศน์ที่ใช้งานได้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๙๒๙ ต่อมาจึงมีการพัฒนาโทรทัศน์สีขึ้นอย่างที่ใช้กันในปัจจุบัน
ในครึ่งศตวรรษหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ได้มีการพัฒนาระบบการส่งสัญญาณที่มีการแปลงสัญญาณเป็นระบบตัวเลขหรือระบบดิจิทัล (digital) ก่อนที่จะส่งโดยใช้คลื่นวิทยุ ระบบดิจิทัลที่ใช้กันทั่วไปนั้นเป็นระบบฐานสองหรือไบนารี (binary) กล่าวคือ สัญญาณที่จะส่งนั้นจะมีรูปแบบเป็นศูนย์กับหนึ่ง (หรือปิดกับเปิด) อันที่จริงระบบไบนารีนั้นได้ใช้กันมานานแล้ว ดังเช่น ระบบโทรเลข ซึ่งได้รับการประดิษฐ์ขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ การส่งโทรเลขจะส่งเป็นสัญญาณจุดและขีดแทนตัวเลขศูนย์และหนึ่ง (ดูเรื่องโทรคมนาคมภาคแรกเล่มที่ ๗) แต่การพัฒนาการส่งสัญญาแบบดิจิทัลในภายหลังนั้น จะพัฒนาด้านประสิทธิภาพ ความเร็วของการส่งการใช้รหัสเพื่อดักและแก้ตัวที่ผิดพลาดจากการส่งรวมทั้งการบีบอัดปริมาณของข้อมูลให้น้อยลง อาจกล่าวได้ว่า การพัฒนาการส่งสัญญาณแบบดิจิทัลเริ่มขึ้นจากบทความของวิศวกรชาวอเมริกันชื่อ แฮรี่ ไนควิสต์ (Harry Nyquist) ซึ่งตีพิมพ์บทความใน ค.ศ. ๑๙๒๘ ใจความสำคัญของบทความนั้นมีดังนี้ ถ้าเราสุ่มค่าของสัญญาณด้วยอัตราไม่ต่ำกว่าสองเท่าของความถี่สูงสุดของสัญญาณนั้น เราก็จะไม่สูญเสียข้อมูลใดๆ ของสัญญาณเดิมนั้นเลย กล่าวคือ เราสามารถสร้างสัญญาณเดิมนั้นได้จากค่าที่สุ่มไว้โดยที่ไม่ผิดเพี้ยนจากสัญญาณเดิม ยกตัวอย่างเช่น เสียงพูดมีความถี่สูงสุดประมาณ ๓.๕ กิโลเฮิรตซ์ ถ้าเราสุ่มค่าด้วยอัตราอย่างต่ำ ๗,๐๐๐ ค่า/วินาที (กล่าวคือสุ่มค่าทุกๆ ๑/๗,๐๐๐ วินาที หรือน้อยกว่า) สัญญาณสุ่มที่ได้จะแทนสัญญาณเสียงพูดเดิมได้อย่างสมบูรณ์ ต่อมานักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ คลอด อีแชนนอน (Claude E. Shannon) ได้ตีพิมพ์บทความ ในปี ค.ศ. ๑๙๔๘ แสดงถึง อัตราสูงสุดของการส่งสัญญาณดิจิทัลผ่านสื่อที่มีสัญญาณรบกวน โดยที่มีความผิดพลาดอยู่ภายในกำหนด ผลจากบทความของไนคริสต์และแชนนอน ได้ผลักดันให้มีการค้นคว้าวิจัยระบบส่งสัญญาณแบบดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสัญญาณที่เกิดตามธรรมชาติ ดังเช่น เสียงพูด เสียงดนตรี อุณหภูมิ ความดัน สัญญาณจากการเต้นของหัวใจ เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณแบบต่อเนื่อง หรือแอนะล็อก (analog) การส่งสัญญาณเหล่านี้โดยใช้วิธีส่งแบบดิจิทัลก็กระทำได้โดยการสุ่มสัญญาณแอนะล็อกก่อนแล้วจึงเปลี่ยนค่าที่สุ่มได้แต่ละค่าเป็นสัญญาณดิจิทัล หลังจากนั้นจึงส่งสัญญาณดิจิทัลผ่านตามสื่อไปยังเครื่องรับ (สื่ออาจจะเป็น อวกาศสายไฟ สายใยแก้ว เป็นต้น) เครื่องรับก็จะแปลงสัญญาณดิจิทัลกลับคืนเป็นสัญญาณแอนะล็อก
ข้อดีของการส่งสัญญาณแบบดิจิทัลก็คือเราสามารถซักฟอกสัญญาณดิจิทัลให้สะอาด ปราศจากสัญญาณรบกวนได้ กรณีที่เห็นได้ชัดก็คือ กรณีไบนารีซึ่งมีค่าได้เพียง ๐ กับ ๑ เนื่องจากเครื่องรับทราบว่าจะต้องเป็นค่า ๐ หรือ ๑ เท่านั้น เครื่องรับก็จะขจัดสัญญาณกวนไปได้ดังเช่น ถ้าเครื่องรับรับค่าเป็น ๐.๑๓ ก็จะถูกปัดเป็น ๐ เพราะถือว่าส่วนเกินคือสัญญาณรบกวน ด้วยเหตุผลนี้เอง การส่งสัญญาณแบบดิจิทัลจึงมีคุณภาพที่ดีกว่า นอกจากนี้ วงจรดิจิทัลยังสามารถสร้างให้มีขนาดเล็ก ทำให้สามารถรวมวงจรจำนวนมากเข้าด้วยกันอยู่บนแผงวงจรรวม (หรือที่รู้จักกันว่า ไอซี IC = Integrated Circuit) เดียวกัน ดังนั้นผลิตภัณฑ์จะมีขนาดเล็ก กินไฟน้อย ดังเช่น โทรศัพท์มือถือสมัยใหม่จะเล็กบางกระทัดรัดและเบา ทำให้สะดวกต่อการพกพา
การจัดสรรความถี่วิทยุ
แถบความถี่สำหรับวิทยุเป็นทรัพยากรประเภทหนึ่ง และเป็นของส่วนรวม การใช้แถบความถี่จึงควรคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมที่จะได้รับการจัดสรรความถี่จึงเป็นสิ่งที่ควรจัดทำให้เหมาะสม ในประเทศไทยการจัดสรรความถี่เป็นหน้าที่ของกรมไปรษณีย์โทรเลข เนื่องจากมีระบบวิทยุมากมายที่ต้องการใช้แถบความถี่ ปัจจุบันความถี่ในบางช่วงจึงไม่เพียงพอกับความต้องการ ในแผนภาพประกอบแสดงถึงความถี่ที่จัดสรรให้กับวิทยุประเภทต่างๆ บางประเภท นอกจากความถี่ที่แสดงไว้แล้ว ยังมีความถี่อื่นๆ ที่ถูกจัดสรรแล้วแต่ไม่ได้แสดง ดังเช่น ความถี่ที่จัดสรรให้กับหน่วยงานทางทหาร ซึ่งเป็นความลับเพื่อความมั่นคง และความถี่ที่จัดสรรให้ใช้กับระบบวิทยุที่ติดต่อกันเป็นแบบส่วนบุคคล ในภาพที่แสดงนั้น อัตราส่วนในแถบความถี่ต่างๆ จะไม่เหมือนกัน เพื่อจัดภาพให้อยู่ในรูปเดียวกันได้
การบำรุงรักษา
เครื่องรับวิทยุที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีก็จะใช้งานได้นาน เช่น เดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ก่อนจะใช้งานควรอ่านคู่มือให้เข้าใจเสียก่อน มิฉะนั้น การใช้งานอย่างผิดพลาดอาจทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ การใช้งานและการดูแลรักษา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
๑. เครื่องวิทยุจะต้องไม่ให้เปียกน้ำ เพราะจะทำให้ไฟช็อต เกิดอันตรายและความเสียหายได้ ดังนั้นจึงไม่ควรนำวิทยุเข้าไปฟังในห้องน้ำเวลาอาบน้ำ เป็นต้น
๒. ไม่ควรเก็บวิทยุในที่อับ หรือที่ชื้นหรือร้อนจัดเกินไป ดังเช่น ไม่ควรนำวิทยุไปตากแดด ไม่ควรเก็บไว้ในห้องน้ำซึ่งมีความชื้นสูง
๓. อย่าเสียบปลั๊กหรือดึงปลั๊กออกด้วยมือที่เปียกน้ำ เพราะอาจจะทำให้ถูกไฟดูดได้
๔. ควรตรวจตราดูว่าสายไฟชำรุดหรือไม่ เช่น ฉนวนที่หุ้มเกิดการถลอก เพราะจะเป็นสาเหตุให้ไฟช็อตหรือไฟดูดได้
๕. ถ้าไม่ใช้วิทยุเป็นเวลานาน ก็ควรจะดึงปลั๊กออก
๖. เวลาหมุนปุ่มปรับต่างๆ ไม่ควรกระทำอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้ชำรุดได้
๗. วิทยุส่วนมากจะมีช่องลม เพื่อให้ความร้อนภายในระบายออกมาได้ เนื่องจากขณะที่วงจรอิเล็กทรอนิกส์ทำงานจะมีความร้อนเกิดขึ้น ถ้าความร้อนไม่ถูกระบายออกนอกวิทยุ จะทำให้วงจรเกิดความเสียหายได้ ดังนั้นขณะที่เปิดวิทยุอยู่ ไม่ควรนำผ้าหรือสิ่งอื่นมาคลุมปิดช่องระบายอากาศ
๘. ควรทำความสะอาดเมื่อเครื่องวิทยุมีความสกปรก เช่น มีฝุ่นเกาะมาก ก่อนที่จะทำความสะอาดต้องดึงปลั๊กออก การทำความสะอาดให้นำผ้าชุบน้ำหรือน้ำสบู่อ่อนๆ แล้วบิดให้แห้งหมาดๆ นำมาเช็ดเครื่องวิทยุให้สะอาดหลังจากนั้นเช็ดให้แห้งด้วยผ้าแห้ง
๙. ไม่ควรแกะฝาครอบออกมาเพื่อเปิดดูภายในของวิทยุ ควรให้ผู้รู้ซ่อมแซมเท่านั้น มิฉะนั้นอาจจะทำให้เครื่องชำรุดมากขึ้น
๑๐. ไม่ควรให้วัตถุหนักทับบนเครื่องวิทยุหรือสายไฟ เพราะจะทำให้ชำรุดได้

ขอขอบคุณความรู้จาก Sanook
ที่มาจาก
http://guru.sanook.com/search/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B8

ความหมายของคลื่นวิทยุ

คลื่นวิทยุ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คลื่นวิทยุ (อังกฤษ: Radio waves) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงความถี่วิทยุบนเส้นสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าซึงสามารไช้ต้มนำร้อนได้แล้วช่วยลอโลกร้อนได้เป็นการบวกที่ดี
คลื่นวิทยุถูกค้นพบครั้งแรกระหว่างการตรวจสอบทางคณิตศาสตร์โดยเจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ ในปี ค.ศ. 1865 แมกซ์เวลล์สังเกตพบคุณสมบัติของแสงบางประการที่คล้ายคลึงกับคลื่น และคล้ายคลึงกับผลการเฝ้าสังเกตกระแสไฟฟ้าและแม่เหล็ก เขาจึงนำเสนอสมการที่อธิบายคลื่นแสงและคลื่นวิทยุในรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เดินทางในอวกาศ ปี ค.ศ. 1887 เฮนริค เฮิร์ตซ ได้สาธิตสมการของแมกซ์เวลล์ว่าเป็นความจริงโดยจำลองการสร้างคลื่นวิทยุขึ้นในห้องทดลองของเขา หลังจากนั้นก็มีสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และทำให้เราสามารถนำคลื่นวิทยุมาใช้ในการส่งข้อมูลผ่านห้วงอวกาศได้
นิโคลา เทสลา และกูลเยลโม มาร์โกนี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประดิษฐ์ระบบที่นำคลื่นวิทยุมาใช้ในการสื่อสาร[1][2]

แถบคลื่นวิทยุบนสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นวิทยุแบ่งออกเป็นหลายแถบความถี่ (ซึ่งสอดคล้องกับความยาวคลื่นสึนามิ) ดังแสดงในตารางแจกแจงความถี่ของวิทยุข้างล่างนี้
ชื่อแถบตัวย่อITU bandความถี่และ
ความยาวคลื่นในอากาศ
ตัวอย่างการใช้งาน
< 3 Hz
> 100,000 km
Extremely low frequencyELF13-30 Hz
100,000 km - 10,000 km
การสื่อสารกับเรือดำน้ำ
Super low frequencySLF230-300 Hz
10,000 km - 1000 km
การสื่อสารกับเรือดำน้ำ
Ultra low frequencyULF3300-3000 Hz
1000 km - 100 km
การสื่อสารภายในเหมือง
Very low frequencyVLF43-30 kHz
100 km - 10 km
การสื่อสารกับเรือดำน้ำ, avalanche beacons, การตรวจจับคลื่นหัวใจแบบไร้สาย, ฟิสิกส์ธรณีวิทยา
Low frequencyLF530-300 kHz
10 km - 1 km
การเดินเรือ, สัญญาณเวลา, การกระจายสัญญาณแบบคลื่นยาว (AM), RFID
Medium frequencyMF6300-3000 kHz
1 km - 100 m
การกระจายสัญญาณ AM แบบคลื่นปานกลาง
High frequencyHF73-30 MHz
100 m - 10 m
วิทยุคลื่นสั้น, วิทยุสมัครเล่น และการสื่อสารของอากาศยานเหนือเส้นขอบฟ้า, RFID
Very high frequencyVHF830-300 MHz
10 m - 1 m
วิทยุ FM, การกระจายสัญญาณโทรทัศน์, การสื่อสารระหว่างภาคพื้นกับอากาศยาน หรืออากาศยานกับอากาศยานที่มองเห็นในสายตา, การสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่บนภาคพื้น
Ultra high frequencyUHF9300-3000 MHz
1 m - 100 mm
การกระจายสัญญาณโทรทัศน์, เครื่องอบไมโครเวฟ, โทรศัพท์เคลื่อนที่, wireless LAN, บลูทูธ, GPS, คลื่น3G และการสื่อสารวิทยุสองทางอื่นๆ เช่น Land Mobile, วิทยุ FRS และวิทยุ GMRS
Super high frequencySHF103-30 GHz
100 mm - 10 mm
อุปกรณ์ไมโครเวฟ, wireless LAN, เรดาร์สมัยใหม่
Extremely high frequencyEHF1130-300 GHz
10 mm - 1 mm
ดาราศาสตร์วิทยุ, high-speed microwave radio relay
Above 300 GHz
< 1 mm

คุณสมบัติของคลื่นวิทยุ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

http://www.hs8jyx.com/html/radio_property.html

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือคลื่นวิทยุจะมีย่านความถี่กว้างแต่ทุกความถี่จะมีคุณสมบัติบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน เช่น คลื่นวิทยุมีคุณสมบัติในการสะท้อนกลับ การหักเห และการเบี่ยงเบน เป็นต้น

เราสามารถเปรียบเทียบคลื่นวิทยุกับแสงไฟหน้ารถ เมื่อแสงส่องไปกระทบกับวัสดุต่าง ๆ ในรูปแบบที่แตกต่างกัน
เราสามารถเปรียบเทียบคลื่นวิทยุกับแสงไฟหน้ารถ เมื่อแสงส่องไปกระทบกับวัสดุต่าง ๆ ในรูปแบบที่แตกต่างกัน
  • R คือ Reflection
  • S คือ Scattering
  • D คือ Diffraction
รูปแสดงการแพร่กระจายคลื่นวิทยุระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 ตัว ในรูปแบบต่าง ๆ
รูปแสดงการแพร่กระจายคลื่นวิทยุระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 ตัว ในรูปแบบต่าง ๆ

การสะท้อนกลับ (Reflection)

การสะท้อนกลับของคลื่นวิทยุ หมายถึง การเปลี่ยนทิศการเดินทางของคลื่นโดยทันทีทันใด เมื่อคลื่นนั้นเดินทางไปตกกระทบที่ผิวของตัวกลางขนาดใหญ่ (large objects) นั่นคือ คลื่นจะกระดอนออกจากผิวของสะท้อนของตัวกลางในลักษณะเช่นเดียวกับการสะท้อนกับกระจกเงา แต่ประสิทธิภาพนั้นจะขึ้นอยู่กับตัวกลาง วัสดุที่มีขนาดใหญ่ สามารถเป็นตัวนำได้ดี เช่น ทองแดง จะทำการสะท้อนกลับคลื่นวิทยุได้ดีมาก

การสะท้อนกลับ (Reflection)

การหักเห (Refraction หรือ bent)

การหักเหของคลื่นวิทยุเกิดขึ้น เมื่อคลื่นวิทยุเดินทางจากตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่งที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าไม่เหมือนกัน (traveling from one medium to another) เช่นถ้าเราใช้ไฟฉายส่องลำแสงไปที่ผิวน้ำที่ราบเรียบจะมีแสงบางส่วนสะท้อนกลับมา และมีบางส่วนทะลุไปใต้น้ำ ดังรูป
การสะท้อนกลับและการหักเหของลำแสง
การสะท้อนกลับและการหักเหของลำแสง
คลื่นที่ลงไปใต้น้ำจะมีการหักเห ส่วนการหักเหของคลื่นวิทยุมาจากความจริงที่ว่า ความเร็วของคลื่นวิทยุจะเดินทางด้วยความเร็วไม่เท่ากัน ถ้าตัวกลางต่างกัน เช่น คลื่นวิทยุเดินทางในน้ำบริสุทธิ์ จะช้ากว่าเดินทางในอากาศถึง 9 เท่า
การหักเหของคลื่นวิทยุ
การหักเหของคลื่นวิทยุ
ถ้าเอาปากกามาจุ่มลงในน้ำ เราจะเห็นว่าปากกามันโค้ง
ถ้าเอาปากกามาจุ่มลงในน้ำ เราจะเห็นว่าปากกามันโค้งงอ
รูปแสดงการหักเหของคลื่นวิทยุที่เดินทางไปยังน้ำ จะเห็นได้ว่าเมื่อหน้าคลื่นเดินทางไปตกกระทบผิวระหว่างตัวกลางทั้งสอง ส่วนที่สำผัสกับผิวน้ำก็จะเริ่มเดินทางช้าลง ในขณะที่อีกส่วนของหน้าคลื่นยังคงอยู่ในอากาศจะเดินทางได้เร็วกว่า
ถ้าพิจารณารูปจะเห็นได้ว่า หน้าคลื่น A -A1 จะตกกระทบผิวน้ำในเวลาที่แตกต่างกัน และความเร็วที่เดินทางผ่านน้ำจะช้ากว่าเดินทางในอากาศ จุด A สามารถเดินทางไปได้ในระยะ d1 ในขณะที่จุด A1 เดินทางมาถึงจุด d2 จึงจะกระทบกับผิวน้ำ ระยะทางทั้งสองใช้เวลาเดินทางเท่ากัน แต่ระยะ d2 จะมีมากกว่า d1 จึงทำให้หน้าคลื่นหักเหไปในแนวใหม่ ตัวอย่างของการสื่อสารแบบนี้คือ ในย่านความถี่ HF อาศัยชั้น ionosphere ที่ทำให้คลื่นค่อย ๆ หักเหลงมายังพื้นโลก

การเบี่ยงเบน (Diffraction)

การเบี่ยงเบนของคลื่นวิทยุเกิดจาก เมื่อคลื่นวิทยุเดินทางผ่านมุมหรือขอบของตัวกลางที่คลื่นไม่สามารถผ่านไปได้ เช่นความถี่ย่าน VHF เดินทางผ่านยอดเขา ความถี่ย่านนี้มีคุณสมบัติเดินทางเป็นเส้นตรง ถ้าเราลากเส้นตรงจากสายอากาศไปยังยอดเขา ส่วนที่อยู่หลังเขาหรือต่ำกว่าเส้นนี้ลงมา น่าจะรับสัญญาณไม่ได้ แต่กลับปรากฏว่ามีบางส่วนที่อยู่หลังเขาและบางส่วนที่พื้นดินซึ่งอยู่ห่างออกไป แต่สัญญาณที่ได้อาจจะไม่แรงมากนัก
knife-edge diffraction
knife-edge diffraction
ความถี่ต่ำ ๆ จะเบี่ยงเบนได้มากกว่าความถี่สูง ๆ
เมื่อความถี่สูงขึ้นการเบี่ยงเบนของคลื่นก็จะยิ่งลดลงกล่าวคือคลื่นจะเดินทางเป็นเส้นตรง (Line of Sight) มากขึ้น จากรูป เขตเบี่ยงเบนจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ส่วนเขตเงาจะไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้เลย

ความถี่ต่ำ ๆ จะเบี่ยงเบนได้มากกว่าความถี่สูง ๆ

ความถี่ต่ำ ๆ จะเบี่ยงเบนได้มากกว่าความถี่สูง ๆ คลื่นวิทยุสามารถเบี่ยงเบนได้มากกว่าแสง และคลื่นเสียงจะเบี่ยงเบนได้มากกว่าคลื่นวิทยุ สังเกตได้จากเราสามารถรับสัญญาณข้างหลังภูเขาได้ เราสามารถได้ยินความถี่เสียงบริเวณมุมตึกได้

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

งานวิจัยนโยบายการคุ้มครองผู้บริโภคจากผลกระทบของคลื่นความถี่วิทยุและเสาวิทยุโทรคมนาคม


ที่มา : Bangkokbiznews.com

เปิดงานวิจัยอันตรายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ระบุตัวการใหญ่ "เสามือถือ"

ข้อมูลประกอบการจัดทำข้อวินิจฉัยกรณี / “ความเป็นไปได้ในผลกระทบต่อสุขภาพจากเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่”

โดย สุเมธ วงศ์พานิชเลิศ

สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.)

1. ในสังคมปัจจุบัน คลื่นวิทยุ (หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) ได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงได้ยากไม่ว่าประเทศใดในโลก

ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาวิจัยโดยนักวิทยาศาสตร์ในโลกนับจากช่วงทศวรรษ 1980 ในด้านความเสี่ยงของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่อสุขภาพของมนุษย์ ก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน โดยพบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (ตั้งแต่ 0 Hz ถึง 300 GHz) สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ได้ หากรับคลื่น (exposure) แรงเกินควร
และ/หรือเป็นเวลานานเกินไป

จึงเป็นที่มาขององค์กรที่เรียกว่า The International Commission on Non-Ionizing Radiation Protection (หรือ ICNIRP) เพื่อสอดส่องดูแลประเด็นดังกล่าว โดยภารกิจสำคัญส่วนหนึ่ง คือ การกำหนดเกณฑ์ปลอดภัย หรือ ขีดจำกัด (ค่าสูงสุด) การแผ่คลื่นในย่านความถี่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ใช้ตามประกาศ กทช. เรื่อง ”หลักเกณฑ์และมาตรการกำกับดูแลความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์” ตั้งแต่ 4 พฤษภาคม 2550

2. ทั้งนี้ ขีดจำกัดคลื่นความถี่ต่ำๆ (ELF) ที่รับว่าไม่เป็นภัยต่อมนุษย์ ได้แก่ ความแรงสนามแม่เหล็กไม่เกินประมาณ 2 mG (หรือ 0.2 µT) ซึ่งอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยทั่วไปเป็นแหล่งแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในระดับต่างๆ (ณ บริเวณตัวเครื่อง) คือ:

- โทรศัพท์ไร้สาย (Cordless Phone) ประมาณ 28 mG
- โทรศัพท์มือถือ (Mobile Phone) ประมาณ 43 mG
- เครื่องรับโทรทัศน์/เครื่องคอมพิวเตอร์ ประมาณ 56 mG
- เตาไมโครเวฟ ประมาณ 2,000 mG ฯลฯ

(รวบรวมจาก National Council on Radiation Protection, California Department of Health เป็นต้น)

ฉะนั้นประชาชนและผู้บริโภคจึงควรรับทราบ
และไม่ควรอยู่ใกล้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านจนเกินไปโดยไม่จำเป็น

3. ผลกระทบจากการดูดซึมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เห็นได้ว่าไม่จำกัดแค่คลื่นความถี่สูง (RF) อย่างโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคลื่นความถี่ต่ำๆ ELF (อย่างกระแสไฟฟ้า 50 Hz) ซึ่งมีการศึกษาวิจัยเชิงระบาดวิทยา (Epidemiological) ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา

โดยมีทั้งฝ่ายที่พบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แม้ในระดับต่ำๆ มีผลกระทบจริง
และฝ่ายที่สรุปว่าผลการศึกษายังไม่ชัดเจนพอหรือไม่มีเลย

4. อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นตรงกันว่า หากเด็กได้รับคลื่นแม่เหล็กเกินกว่า 0.4 µT (4 mG) เป็นเวลานานๆ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia) ถึง 2 เท่าตัว

The International Agency for Research on Cancers (IARC) ได้เห็นพ้องในข้อสรุปว่า

“คลื่นแม่เหล็กในย่านความถี่ต่ำ (อาทิ ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าตามบ้าน) อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง (carcinogenic agent) ชนิดหนึ่ง”

รวมทั้งในเอกสาร Electrosmog in the environment (SAEFL 2005) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่แก่ประชาชนโดย Swiss Agency for the Environment, Forest and Landscape รัฐบาลประเทศสวิสเซอร์แลนด์ก็ได้ประกาศชัดเจนว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นมลพิษทางสิ่งแวดล้อมชนิดหนึ่ง

ความเห็นข้างต้นอยู่ในทิศทางเดียวกันกับข้อสรุปงานวิจัยโดย Childhood Cancer Research Group, University of Oxford ในปี 2005 ความว่า

“เด็กกลุ่มที่เกิดจากมารดาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับสายไฟฟ้าแรงสูงภายในระยะห่างไม่เกิน 200 เมตร มีอัตราความเสี่ยงเป็น leukemia สูงขึ้นร้อยละ 70 เทียบกับกลุ่มที่มารดาอยู่ห่างจากสายไฟฟ้าแรงสูงเกินกว่า 600 เมตรขึ้นไป” (Draper G et al, 2005)

5. Professor Dr. Robert O. Becker แห่ง State University of New York, Upstate Medical Center และ Louisiana State University Medical Center ผู้ซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Nobel Prize สาขาแพทย์ศาสตร์ ถึง 2 ครั้ง เนื่องจากผลงานวิจัยด้านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากับการแพทย์ ได้สรุปถึงกระทบต่อสุขภาพของคลื่นความถี่ต่ำมาก (ELF) ไว้ว่า ถึงแม้คลื่นจะมีความเข้มในระดับต่ำมากๆ แต่หากได้รับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็สามารถกระทบต่อระบบควบคุม (DC Control System) ในสมองมนุษย์ (Becker, RO, 1990;2004) ทำให้เกิดอาการต่างๆได้ เช่น ปวดหัว หน้ามืด คลื่นเหียน สับสน อ่อนเพลีย ความจำเสื่อม ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ชักกระตุก ฯลฯ

6. ภายหลังจากการเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยคลื่นวิทยุ RF ในย่านความถี่ไมโครเวฟตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 จนเป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างมากในเวลาถัดมา ทำให้เกิดประเด็นผลกระทบจากคลื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อสุขภาพมนุษย์ จนกลายเป็นที่มาของงานศึกษาวิจัยมากมายตามมา
การร้องเรียนปัญหาด้านสุขภาพจากผู้บริโภค
และการศึกษาวิจัยส่วนมากจะพุ่งเป้าที่ประเด็นการใช้โทรศัพท์ฯในช่วงแรกๆ

แต่ในเวลาต่อมา การร้องเรียนเกือบทั้งสิ้นจะมาจากผู้พักอาศัยอยู่ใกล้กับเสาแผ่สัญญาณ(หรือเสาอากาศ) บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Phone Antenna, หรือ Mast, หรือ Base Station) ซึ่งผู้อยู่อาศัยใกล้เสาฯไม่อยู่ในวิสัยที่จะควบคุม หรือป้องกันตัวเองได้ จึงแตกต่างกับประเด็นการใช้ที่แต่ละผู้ใช้สามารถจะเลือกใช้อย่างไร และเพียงใดได้

7. ดังนั้น มาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภค จึงมีลักษณะคล้ายคลึงกับกรณีบุหรี่ กล่าวคือ มาตรการสำหรับผู้ใช้โทรศัพท์ฯ (ผู้สูบบุหรี่) กลุ่มหนึ่ง และสำหรับผู้อยู่ใกล้เสาอากาศ (ผู้สูบบุหรี่มือสอง) อีกกลุ่มหนึ่ง

8. ผลกระทบต่อสุขภาพจากคลื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ นอกเหนือจากอาการที่มาจากคลื่นความถี่ต่ำ (ELF) ต่างๆดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังรวมไปถึงอาการที่สำคัญๆ ดังเช่น
- Brain tumors (เนื้องอกในสมอง) - Acoustic neuroma (มะเร็งประสาทใกล้บริเวณหู) - Parkinson - Alzheimer - Cancers (มะเร็งต่างๆ) ฯลฯ

fengshui:
ตัวอย่างเช่น จากเอกสารที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) งานศึกษาวิจัยในต่างประเทศพบว่า

1) ประชากร 530 คน ที่อยู่ใกล้เสาสัญญาณโทรศัพท์ฯ ในรัศมี 400 เมตร มีอาการผิดปกติต่างๆ เช่น headaches, sleep disruption, irritability, depression, memory loss, nausea, visual disruption (Santini et al, 2002)

2) ผู้อยู่อาศัยในอาคารชุดภายใต้และตรงกันข้ามกับบริเวณเสาส่งสัญญาณ ที่ตั้งบนหลังคาอาคารชุดมีอาการ Headaches, memory changes, dizziness, tremors, depression, blurred vision, sleep disturbance, irritability, lack of concentration ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Santini ข้างต้น (Abel-Rassoul G et al, 2007)

9. นอกจากนี้แล้ว ยังมีงานวิจัยในทำนองเดียวกันอีกจำนวนมากที่สำคัญๆ อาทิ

1) Eger และพวก (2004) พบว่ากลุ่มประชากรที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้กับเสาสัญญาณฯ ภายในระยะ 400 เมตร เป็นเวลา 5 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงขึ้น 3 เท่าตัว หรือของ Wolf และ Wolf (2004) ก็เช่นกันได้พบความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว ในกลุ่มผู้อาศัยใกล้เสาสัญญาณฯ ระหว่าง 3 ถึง 7 ปี (Anslow, M 2008)

2) Ecolog Report (2000) ซึ่งบริษัท T-Mobile แห่ง Germany เป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนในการรวบรวมวิเคราะห์ผลงานวิจัยในด้านนี้กว่า 220 ชิ้น พบหลักฐาน (evidence) ผลกระทบต่างๆ เช่น ต่อระบบประสาทส่วนกลาง การริเริ่ม (Initiating) และการส่งเสริม (Promoting) การโตของเซลล์มะเร็ง ต่อการทำหน้าที่ของสมองและที่เกี่ยวกับระบบความจำ ฯลฯ พร้อมกับเรียกร้องให้ ICNIRP ทบทวนเพื่อลดระดับเกณฑ์ความปลอดภัยในการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้ต่ำลง 1,000 เท่า (หรือในระดับ 0.1% ของเกณฑ์ที่แนะนำ)

10. เป็นที่สังเกตในวงการนักวิทยาศาสตร์ว่า อาการสุขภาวะต่างๆ ข้างต้นเกิดขึ้นทั้งๆที่อุปกรณ์เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือระดับการแผ่คลื่นจากเสาส่งสัญญาณฯ ล้วนต่ำกว่าเกณฑ์ที่ ICNIRP ประกาศแนะนำ โดยเป็นเกณฑ์ซึ่งกำหนดบนพื้นฐานที่ไม่ทำให้เนื้อเยื่อมนุษย์มีอุณหภูมีสูงขึ้นจากการดูดซึมพลังงานคลื่นฯ (กล่าวคือเป็นผลกระทบในเชิงความร้อน-Thermal effects ในทำนองเดียวกันกับที่เตาไมโครเวฟสามารถอุ่นอาหาร)

นักวิทยาศาสตร์จึงได้พุ่งประเด็นการวิจัยเสียใหม่ยังผลกระทบที่ไม่ใช่เชิงความร้อน (Non-thermal effects) หากแต่เป็นผลกระทบเชิงชีววิทยาว่ามีอะไรและอย่างไรบ้างจากการรับคลื่นความถี่สูงในระดับซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ ICNIRP มาก

โดยมีชิ้นงานสำคัญๆ เช่น

1) The REFLEX report (2004) ซึ่งเป็นโครงการ 4 ปี มูลค่า 3.2 ล้านยูโรโดยกลุ่มผู้วิจัย 12 กลุ่มใน 7 ประเทศสหภาพยุโรป (EU) ทำการศึกษาประเด็นผลกระทบจากคลื่นฯ แรงต่ำๆในระดับ 0.2-1.3 W/kg ต่อตัวอย่างเซลล์มนุษย์ในหลอดแก้วทดลอง (in-vitro) เทียบกับเกณฑ์ 2 W/kg ของ ICNIRP/WHO ได้พบความเสียหายของโครโมโซม (Chromosome damage หรือ DNA breaks คล้ายกับความเสียหายจากการฉายแสง X-ray ปอด 1,600 ครั้ง) อันเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและโรคอื่นๆตามมา

หมายเหตุ : REFLEX ย่อมาจาก “Risk Evaluation of Potential Environmental Hazards from Low Energy Electromagnetic Field (EMF) Exposure using Sensitive in-vitro Methods” ซึ่ง ใน“รายงานสรุปผลการดำเนินการ”

โดยคณะกรรมการร่างมาตราฐานความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้เครื่องวิทยุคมนาคมต่อสุขภาพผู้ใช้ เครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ พฤษภาคม 2548 โดย กทช.ได้อ้างอิงถึง อีกทั้งข้อสรุปจาก REFLEX ยังสอดคล้องกับการศึกษาโดยใช้หนูทดลองก่อนหน้านั้น อาทิ โดย Lai and Singh (2004), Svedenstal et al (1999) เป็นต้น

2) Andrew Goldsworthy (Goldsworthy A, 2007) ซึ่งเป็น Honorary Lecturer แห่ง Imperial College London ในประเทศอังกฤษ ได้สนับสนุนข้อสรุปเกี่ยวกับ “Non-thermal Effects จากการดูดซึมคลื่นฯ ความแรงต่ำว่าสามารถสร้างความเสียหายต่อ DNA มนุษย์ได้ พร้อมกับอธิบายถึงสาเหตุที่มา (Mechanism) ว่าเกิดจากการไหลออกของ Calcium ions จากเซลล์ (Calcium ion Efflux) ภายใต้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าจนเกิดการรั่วซึมของ digestive enzymes เข้าสู่เซลล์ดังกล่าว แล้วจึงย่อย (digest) เซลล์นั้นๆขึ้นจนเกิดความบกพร่องตามมา ฯลฯ

ข. ความตื่นตัวของผู้บริโภคในต่างประเทศ

11. ปัจจุบันงานวิจัยและข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่อาจสรุปได้โดยปราศจากข้อโต้แย้งในความสัมพันธ์ระหว่างการก่อเกิดมะเร็งกับการดูดซึมคลื่นความถี่สูงอย่างเช่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ (WiFi หรือ WiMAX เป็นต้น) แม้ในระดับการแผ่คลื่นกำลังต่ำๆ แต่เป็นระยะเวลานาน ทั้งนี้เหตุผลหนึ่งอาจเนื่องจากการเกิดมะเร็งเนื้อร้าย จะโดยเหตุปัจจัยใดก็ตาม โดยมากต้องใช้เวลานับ 10-15 ปีขึ้นไปทั้งสิ้น

ดังเห็นได้จากประสบการณ์รังสีปรมณูที่นครนากาซากิ หรือฮิโรชิมา หรือจากการสูบบุหรี่ หรือ การดูดซึมสาร asbestos เหล่านี้เป็นต้น

12. อย่างไรก็ดีผลงานวิจัยที่แสดงถึงผลกระทบต่อสุขภาวะของผู้อยู่อาศัยใกล้กับเสาโทรศัพท์ฯ (โดยเฉพาะภายในระยะ 300-400 เมตร) ที่ไม่ใช่โรคมะเร็ง ก็มีการพบเห็นเป็นจำนวนมาก

อีกทั้งในหลายๆ กรณีที่หลังจากมีการย้ายเสาฯ หรือย้ายที่พัก/ทำงานแล้ว ผู้ถูกกระทบมีสุขภาวะดีขึ้น จึงน่าเชื่อได้ว่าผลกระทบต่อสุขภาวะนั้นๆเป็นจริง ดังเห็นได้จากตัวอย่างเช่น

กรณีหมู่บ้านชุมชนเล็กๆ Wishaw ในประเทศอังกฤษ ประกอบด้วย 18 ครัวเรือนที่อยู่ใกล้เสาโทรศัพท์ฯ ในระยะ 500 เมตร โดยหลังจากการเปิดบริการได้ราว 7 ปี (ค.ศ 2001) ปรากฎว่าสุขภาวะของผู้ที่อยู่อาศัย รวมถึงปศุสัตว์ (เช่น ม้า) แย่ลงมากโดยมีทั้งอาการ headaches, dizziness, Sleep problems, low immune system จนถึงการเจ็บป่วยเป็นมะเร็ง ได้แก่ breast cancer (รวม 5 ราย) prostate, bladder และ lung cancer (อย่างละ 1 ราย), pre- cancer cervical cells (3 ราย), motor neuron disease รวมทั้ง spine tumour ที่ต้องรับการผ่าตัด (1 ราย)

แต่ภายหลังจากที่บริษัท T-Mobile ได้ถอนเสาออกไปในช่วงปลายปี 2003 สุขภาวะในชุมชนเริ่มดีขึ้นตามลำดับ ปัญหาการหลับนอน ปวดศรีษะ และวิงเวียนศรีษะต่างได้ลดหายไป
fengshui:
13. กรณีที่สุขภาวะของชุมชนดีขึ้นภายหลังการย้ายเสาให้ห่างจากพื้นที่ดังตัวอย่างข้างต้น มีจำนวนไม่น้อย แต่ในทางกลับกัน เมื่อชุมชนมีสุขภาวะลดลงอย่างผิดปกติวิสัยอย่างชัดเจนโดยเห็นว่าน่าจะเป็นเพราะเสาโทรศัพท์ฯที่ตั้งภายในชุมชน แล้วกลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ก็อาจนำไปสู่การทำลายเสาโทรศัพท์ฯได้ ดังเช่น

1) ในประเทศอิสราเอล เกิดการจลาจรและการเผาเสาโทรศัพท์เคลื่อนที่ฯทั้งหมดในหมู่บ้าน Druses แคว้น Usfiyeh เมื่อ14 มีนาคม 2000 เนื่องจากมีผู้เป็นมะเร็งรวมกันถึงกว่า 200 คน อีกทั้งที่ Neve Horesh ในเมือง Dimona ก็มีการทำลายเสาโทรศัพท์เมื่อ 27 กันยายน 2006 เช่นกัน

2) ประเทศไต้หวัน ในช่วงปี 2005 มีการทำลายเสาโทรศัพท์เคลื่อนที่ถึงเกือบ 900 เสา
ดังนั้นการไม่ทำอะไร (Do nothing strategy) ในกรณีนี้ จึงมิใช่มาตรการที่ดีในการบริหารจัดการกับปัญหาแม้จะยังขาดข้อยุติในมูลเหตุของปัญหาก็ตาม

ค. ปฏิกิริยาของหน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง

14. ข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (โดยเฉพาะสายส่งไฟฟ้าแรงสูง เสาสัญญาณและเครื่องโทรศัพท์ไร้สาย) ดูเหมือนจะไม่แตกต่างกับปัญหากรณีบุหรี่ (Tobacco), DDT หรือ Asbestos ฯลฯ ในอดีต หรือ ปัญหาพืชตัดต่อพันธุกรรม (GMO) และภาวะโลกร้อนในขณะนี้ ซึ่งการรอจนสามารถพิสูจน์ผลทางวิทยาศาสตร์อย่างปราศจากข้อสงสัย จึงอาจจะนำไปสู่ความสูญเสียอันมหาศาลทั้งในทางตรงและทางอ้อมดังกรณีต่างๆข้างต้น

ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์แนวหน้าในโลกที่ตระหนักและรู้เห็นถึงความเป็นไปได้สูงในอันตรายของคลื่นฯ กำลังต่ำ จึงต่างออกมาให้คำเตือนต่อสาธารณะ อาทิ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้มีนักวิทยาศาสตร์จำนวน 42 คน ร่วมลงนามในแถลงการ “Benevento Resolution” (www.icems.eu) อีกจำนวนไม่น้อยที่ออกมาเปิดเผยผลงานวิจัย ทั้งในเชิง Epidemiology และการทดลองด้วยสัตว์ หรือ เซลล์มนุษย์ (in-vitro) จำนวนมาก ซึ่งต่างทำให้เชื่อได้ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตั้งแต่ 0 Hz ถึง 300 GHz แม้มีความแรงต่ำก็สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ได้ทั้งสิ้น

แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักจะให้การปฏิเสธ หรือยืนยันว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่น่าจะส่งผลกระทบหากมีระดับไม่เกินกว่าเกณฑ์สากลที่กำหนด

หรือไม่ก็มักจะอ้างว่า การให้บริการมีความปลอดภัยดี จนกว่านักวิทยาศาสตร์จะสามารถชี้ถึงสาเหตุที่มา (Mechanism) ว่าอันตรายจากคลื่นกำลังต่ำมีผลทางชีววิทยาอย่างไร ทำให้เกิดมะเร็งจริงหรือไม่

อีกไม่น้อยเช่นกันที่มีการเผยแพร่หรือสนับสนุนงานวิจัยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสรุปว่าคลื่นจากเสาสัญญาณหรือจากเครื่องโทรศัพท์ไร้สาย ยังไม่พบผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ในระยะสั้น (Short-term) แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันในผลกระทบระยะยาว (Long-term) ได้

15. ในประเด็นข้างต้น ข้อสังเกตหนึ่งที่พึงจะคำนึงถึงก็คือ ประเด็นความลำเอียง (bias) ของนักวิจัย โดยอาจพิจารณาว่าผลงานกลุ่มใดน่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่และมากน้อยกว่ากันเพียงใด

ดังประสบการณ์ในอดีตอย่างกรณีบุหรี่ หรือประเด็นภาวะโลกร้อนจากการใช้พลังงานจากถ่านหิน น้ำมันและก๊าซธรรมชาติในขณะนี้ ซึ่ง James Hansen, ผู้อำนวยการ Goddard Institute for Space Studies ภายใต้ NASA ในสหรัฐฯ (หนึ่งใน 100 บุคคลที่ Times ยกย่องเป็นบุคคลทรงอิทธิพลของโลกปี 2006) ได้กล่าวต่อสาธารณะไว้อย่างน่ารับฟังว่า
“อุตสาหกรรมฯกำลังปกปิดสาเหตุสภาวะโลกร้อนที่แท้จริงจากสาธารณะและผู้กำหนดนโยบาย แบบเดียวกับที่ผู้ผลิตบุหรี่ ซึ่งรู้แก่ใจว่าบุหรี่เป็นสาเหตุระเร็งปอด แต่ผู้ผลิตได้จ้างนักวิทยาศาสตร์ออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง”

(“The industry is misleading the public and policy makers about the cause of climate change. And that is analogous to what the cigarette manufacturers did. They know smoking caused cancers, but they hired scientists who said that was not the case” (Bangkok Post, April 8, 2008))

ขณะเดียวกันจากผลการสำรวจนักวิทยาศาสตร์จำนวน 5,500 คนของ Environment Protection Agency (EPA) ในกรุงวอชิงตัน ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ตอบแบบสอบถาม 1,586 ราย พบว่าร้อยละ 60 ได้ตอบว่า “มีประสบการณ์ การแทรกแซงงานวิจัยจากฝ่ายการเมือง (political interference)” (Bangkok Post, April 25, 2008)

ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่กฎระเบียบ (regulations) เกี่ยวกับการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่ประกาศใช้อาจไม่สมเหตุสมผลก็ได้ ซึ่ง EPA เองก็เคยปกป้องเกณฑ์ของ FCC (หรือ ICNIRP) ว่าด้วยการแผ่คลื่นฯมาแล้วถึง 2 ครั้งว่ามีความเหมาะสมอยู่

ในทางกลับกัน ตัวอย่างองค์กรอีกกลุ่มซึ่งทำหน้าที่ปกป้องสิทธิของผู้อาจถูกผลกระทบนั้น จะได้กล่าวถึงในหัวข้อต่อไป

ง. ประสบการณ์การดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาในบางประเทศ

16. นโยบายและมาตรการป้องกันหรือลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้จากการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำเป็นต้องจำแนกออกเป็น 2 กลุ่ม กล่าวคือกลุ่มผู้ใช้บริการ และกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเสาโทรศัพท์ฯ ดังต่อไปนี้

การใช้โทรศัพท์ไร้สาย ถือเป็นสิทธิส่วนบุคลที่ผู้ใช้ย่อมสามารถตัดสินใจจะเลือกใช้อย่างไร มากหรือน้อยเท่าใด ฉะนั้นมาตรการสำหรับกลุ่มนี้จึงเป็นเรื่องการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และการให้คำปรึกษาแนะนำที่เหมาะสมทันการณ์ อย่างเช่น

1. หากไม่มีทางเลือกอื่น ควรจะใช้ด้วยเวลาน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ไม่ใช่ไม่ควรจะใช้)

2. หากเป็นไปได้ควร เลือกใช้โทรศัพท์ใช้สาย (โทรศัพท์บ้าน) แทน แต่ต้องไม่ใช่แบบไร้สาย (cordless phone ซึ่งก็มีผลกระทบเช่นเดียวกันกับโทรศัพท์มือถือ)

3. ควรใช้อุปกรณ์ Hands-Free แบบ Speaker phone (ลำโพง) จะดีกว่า

ทั้งนี้ ในปี 2007 รัฐบาลเยอรมนีได้ออกประกาศแนะนำประชาชนของตน ให้หันไปใช้โทรศัพท์ใช้สายแทนการใช้โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งแนะนำให้ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ แทนที่จะใช้ WiFi อีกด้วย (The New Zealand Herald, September16, 2007)

อีกทั้งมีรายงานจากสวีเดนเกี่ยวกับการใช้ Cordless Phone ภายในบ้านว่า “มีผลกระทบมากกว่าการใช้เครื่องโทรศัพท์มือถือมาก” (News of the World “Cordless handsets 100 times worse than mobiles, say experts”, February 5, 2006) และยังได้มีการทดสอบอุปกรณ์ Hands-Free แบบ Ear phone (หูฟัง) โดย CA (Computer Associates) พบว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีอัตราความเสี่ยงสูงกว่าตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือถึง 3 เท่าตัว เนื่องจากอุปกรณ์และสายที่ต่อไปยังเครื่องโทรศัพท์ฯ จะทำหน้าที่เป็นเสาอากาศซึ่งจะรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกย่านความถี่ (Yahoo News, April 2000) อุปกรณ์อย่าง blue-tooth จึงไม่ใช่ทางออกเช่นกัน

ดังนั้นการไม่ใช้เครื่องโทรศัพท์แบบไร้สายเป็นเวลานานๆ หรือการหันมาใช้เครื่องแบบมีสายแทน จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงใดๆ หากมีการยืนยันว่าผลกระทบฯมีจริงในที่สุด

17. ในอีกแง่หนึ่ง หากการตั้งเสาโทรศัพท์ฯ (รวมถึงเสาสถานีวิทยุ-โทรทัศน์ อุปกรณ์ WiFi หรือ Wi MAX ต่อไปในอนาคต) ได้สร้างผลกระทบขึ้นจริง จะถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เนื่องจากผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงจะรับผลกระทบตลอดระยะเวลาโดยไม่มีทางเลือก (imposed risks) ใดๆ แม้ว่าตนเองจะไม่เป็นผู้ใช้บริการก็ตาม หรือมีลักษณะเดียวกันกับกรณีผู้สูบบุหรี่ประเภทสอง (second hand smokers) ซึ่งสมควรและปัจจุบันก็ได้รับการคุ้มครองจากภาครัฐ

สิ่งที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางภาครัฐควรและต้องทำ ก็คือการตั้งมาตรฐานระดับความเข้มของคลื่นฯ ที่ไม่เป็นภัยกับประชาชนในระยะยาว ควบคู่กับการสื่อสารให้ข้อมูลความรู้ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและทันการณ์แก่ประชาชน เช่น ทางเลือกและการใช้เทคโนโลยีแต่ละชนิดอย่างเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
มาตรฐานที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกใช้ โดยทั่วไปมักอิงกับข้อแนะนำของ ICNIRP (1998) หรือ International Commission on Non-Ionizing Radiation Protection อันเป็นเกณฑ์ที่ WHO รับรอง อีกทั้ง เป็นเกณฑ์ตามประกาศ กทช. เรื่อง “หลักเกณฑ์และมาตรฐานการกำกับดูแลความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์จากการใช้เครื่องวิทยุคมนาคม 2550” และ “มาตรฐานความปลอดภัยต่อสุขภาพฯ กทช.ม.ท.5001-2550” ซึ่งกำหนดความเข้มไม่ให้เกิน 4,500 mW/m2 (หรือ 41 V/m) สำหรับคลื่น 900 MHz และ 9,000 mW/m2 (หรือ 58 V/m) สำหรับคลื่น 1800 MHz

18. อย่างไรก็ดี เนื่องจากปรากฏว่ามีงานศึกษาวิจัยจำนวนไม่น้อย ซึ่งชี้ถึงผลกระทบทางชีววิทยา (biological หรือ non-thermal effects) แม้ในระดับความเข้มซึ่งต่ำกว่าข้อแนะนำของ ICNIRP/WHO ดังนั้นจึงมีรัฐบาลในระดับประเทศหรือท้องถิ่น ทำการปรับลดเกณฑ์ที่บังคับใช้เสียใหม่ อาทิ ประเทศอิตาลี (ปี 1999) ได้ตรากฎหมายจำกัดความแรงทั้งคลื่น 900 และ 1800 MHz ที่ระดับ 6 V/m ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (ปี 2000) ได้จำกัดความแรงคลื่น 900 และ1800 MHz ที่ระดับ 4 และ 6 V/m ตามลำดับ หรือเท่ากับการลดกำลังคลื่น (density) ลงระหว่าง 50-90 เท่าตัวเทียบกับกำลังสูงสุดตามคำแนะนำของ ICNIRP (International Conference on Cell Tower Siting, Salzburg,June 7-8,2000)
นอกจากนี้แล้วรัฐบาลท้องถิ่น เช่น Wallonia, Moscow หรือ Salzburg ก็ได้กำหนดมาตรฐานของตนเองซึ่งต่ำกว่าที่รัฐบาลกลางใช้อยู่ โดยยึดตามหลักการ “Precautionary Principle" ที่สหประชาชาติ (UN) เห็นชอบในการประชุมด้าน Environment and Development ณ กรุง Rio de Janeiro ประเทศบราซิลในปี 1992 ซึ่งสาระของหลักการที่สำคัญ คือ

"ในกรณีที่มีเหตุผลอันเชื่อได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ หรือต่อสิ่งแวดล้อมใดๆแล้ว จักต้องมีมาตรการป้องกันอย่างเหมาะสม ถึงแม้ว่าจะยังขาดข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจนก็ตาม”

ทั้งนี้คำนิยามว่าด้วยสุขภาพมนุษย์ของ WHO มิใช่ครอบคลุมเพียงสุขภาพกายที่ควรปลอดจากการเจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้น หากยังรวมถึงสุขภาพจิต และสภาวะทางสังคมที่ดีอีกด้วย (“A state of complete physical, mental, and social well-being, and not merely the absence of disease or infirmity”)

19. ประเทศและเมืองที่ยึดถือหลักการ Precautionary principle จึงต่างกำหนดขีดจำกัดให้ต่ำกว่าของ ICNIRP /WHO อย่างเช่น สำหรับคลื่น 1800 MHz ได้แก่ (ตามลำดับจากมากไปน้อย) Belgium (1,115 mW/m2), Poland, Italy, Russia, และ Switzerland (100 mW/m2), Wallonia ใน Belgium (24 mW/m2), Moscow ใน Russia (20 mW/m2) และ Salzburg ใน Austria (ภายนอกตัวบ้าน 0.01 mW/m2 และภายในบ้าน 0.001 mW/m2 ในปี 2000 ซึ่งลดลงจาก 1 mW/m2 ที่ใช้ในปี 1998)

อีกทั้งรัฐสภากลุ่มสหภาพยุโรป (EU Parliament) ก็ได้มีมติในปี 2001 ให้ใช้เกณฑ์แนะนำ (quidance) ที่ระดับ 0.1 mW/m2 เป็นต้น

20. นอกเหนือจากมาตรการทางกฎหมายหรือกฎระเบียบแล้ว การให้ข้อมูล ความรู้ คำแนะนำ รวมถึงกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ผู้ประกอบการ และชุมชนที่อาจรับผลกระทบจากการตั้งเสา ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญตามหลักการแห่ง Precautionary Principle ทั้งสิ้น

อย่างเช่น กรณีของ SAEFL (2005) ได้เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีอยู่รอบตัวมนุษย์ (electrosmog) ตั้งแต่ สายไฟแรงสูงและแรงต่ำ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน บริเวณตามแนวรางรถไฟ หรือใกล้เสาสัญญาณโทรศัพท์ หรือเสาวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ จนถึงตัวอุปกรณ์สื่อสารไร้สายทุกชนิด (รวมถึงอุปกรณ์ WiFi และ WiMax หรืออื่น ๆ ในอนาคต)

ในทำนองเดียวกัน รัฐบาลเยอรมันยังได้แถลงเมื่อ September 2007 แนะนำผู้บริโภคให้ใช้โทรศัพท์มีสายและอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่ใช้สาย (ADSL) แทนการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ WiFi (เนื่องจากอุปกรณ์ WiFi ทำหน้าที่เป็นสถานี หรือเสารับ-ส่งสัญญาณด้วยคลื่นความถี่สูง)
อีกทั้งในสารคดี Panorama ซึ่งแพร่ภาพทาง BBC TV ในเดือน May 2007 ได้พิสูจน์ความแรงคลื่นจาก WiFi ที่วัดได้เทียบเท่ากับความแรงคลื่นห่างจากเสาสัญญาณโทรศัพท์ที่ในระยะ 150 เมตร

ในสารคดีดังกล่าวยังได้มีการสัมภาษณ์ผู้ป่วยในสวีเดน ที่มีอาการ electrosensitivity (บางครั้งเรียกว่า electro hypersensitive syndrome, EHS) หรือภูมิแพ้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งผู้ป่วยจะเกิดอาการปวดหัว หรือหัวใจเต้นแรง หรืออ่อนเพลีย ฯลฯ ในทันทีที่เข้าใกล้เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ หรือวิทยุ หรือโทรทัศน์

ซึ่งรัฐบาลสวีเดนได้ยอมรับและจัดให้เป็นโรคอย่างหนึ่ง โดยผู้ป่วยจะได้รับสิทธิคุ้มครองทั้งในค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลจนถึงค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงที่พักอาศัย (กรณีใกล้เสาส่งคลื่นความถี่สูง) เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว

สุดท้ายกระบวนการมีส่วนร่วมแบบไตรภาคี เป็นหนทางที่สามารถนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบ เป็นประโยชน์และผลดีร่วมกันทุกๆฝ่ายได้ อย่างเช่นในกรณีของชุมชนใน Salzburg ซึ่งครั้งหนึ่งในช่วงปี 1998 ได้ลุกขึ้นประท้วงการตั้งเสาโทรศัพท์เคลื่อนที่ จนนำไปสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย ระหว่างรัฐบาลท้องถิ่น ผู้ประกอบการและชุมชน

จนในที่สุดต่างยอมรับในข้อเสนอของกรมสาธารณสุข (Department of Public Health) ให้ใช้เกณฑ์ 1 mW/m2 cumulative (ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ICNIRP เกือบ 10,000 เท่า) และต่อมาเมื่อผู้ประกอบการรายที่ 4 รายใหม่ (tele.ring)ได้รับใบอนุญาตประกอบการในเดือน May 1999 ก็ได้มีการเจรจาและได้ข้อยุติรับเงื่อนไขติดตั้งเสาโดยแผ่คลื่นฯในระดับไม่เกิน 0.25 mW/m2 หรือในสัดส่วน 1 ใน 4 ของเกณฑ์ cumulative สูงสุด เนื่องจากมีผู้ประกอบการให้บริการในบริเวณเดียวกัน 4 ราย (Oberfeld G และ Konig C, 2000)

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

21. สืบเนื่องจากได้ปรากฏข้อมูลจำนวนไม่น้อยจนเกิดการยอมรับในหมู่นักวิทยาศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายในหลายๆ ประเทศ ทำให้มีเหตุผลพอเชื่อได้ว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งช่วง ELF จนถึงช่วงไมโครเวฟ ที่ใช้สำหรับให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ WiFi หรือ WiMAX มีผลกระทบต่อสุขภาวะได้

อาทิ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ได้ถือว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกย่านความถี่เป็นมลภาวะประเภทหนึ่ง (ดูหน้า 7 ใน SAEFL: Electrosmog in the environment)

ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลายของไทยจึงสมควรจะทบทวนนโยบาย และมาตรการป้องกัน “สุขภาพ” ของประชาชนให้สอดคล้อง ตามนิยามของ WHO และ พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 5, 10 และ 11 ดังข้อเสนอแนะต่าง ๆ ดังนี้

1) กำหนดเกณฑ์รวม (cumulative) สูงสุดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งย่าน ELF และ RF ใหม่ ที่สอดคล้องกับหลักการแห่ง Precautionary Principle เป็นต้นว่าให้จำกัดคลื่น ELF ไม่ให้เกิน 2 mG และคลี่น RF รวมกันไม่เกิน 0.6 V/m หรือ 1 mW/m2

2) สนับสนุนเทคโนโลยีและบริการทางเลือก ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมที่ใช้สาย (เช่นใยแก้วนำแสงหรือทองแดง)

3) ให้ความรู้ข้อมูลและทำการประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับประเด็นลดละการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือโทรศัพท์ไร้สายเป็นเวลานาน ๆ เนื่องจากอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ (Potential health risks)ได้

4) แนะนำผู้ปกครองให้ละเว้น หรือจำกัดการใช้ข้างต้นในกลุ่มผู้เยาว์วัยโดยหันไปใช้ระบบที่เป็นสายแทน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สามารถรับผลกระทบต่อสุขภาพจากการใช้มากกว่าผู้ใหญ่มาก

5) ให้ละเว้นการติดตั้งเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหม่ ในบริเวณใกล้สถานพยาบาล โรงเรียน ชุมชน ที่พักอาศัย รวมถึงการตั้งเสาใหม่บนหลังคา อาคาร/ ตึกแถว เนื่องจาก ความแรงของคลื่นวัดที่จุดสูง ๆ มีระดับสูงกว่าจุดแนวพื้นราบในบริเวณเดียวกันถึงร้อยเท่าตัวได้

6) สำหรับการตั้งเสาใหม่เพื่อให้บริการในพื้นที่ชุมชนหนาแน่น หากไม่สามารถจัดหาบริเวณที่ห่างออกไปอย่างน้อย 300 เมตรได้ ควรแก้ปัญหาด้วยวิธีการการทางเทคโนโลยี อาทิ ด้วยการติดตั้ง micro-cells หรือ nano-cells ตามแนวเสาไฟฟ้าหรือด้วยวิธีการอื่นๆ แทน ดังที่ใช้กันในต่างประเทศ (WHO, 2005 หน้า 17 และ 29)

หมายเหตุ อุปกรณ์เครื่องโทรศัพท์มือถือสามารถใช้งานได้ถึงระดับความแรงคลื่น 0.00003 V/m หรือ กำลังคลื่น 2.0 x 10-9 mW/m2

7) ก่อนการติดตั้งเสาใหม่ควรสร้างความเข้าใจทั้งในผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบแก่ชุมชนในบริเวณนั้นๆ จนได้ข้อยุติเห็นชอบร่วมกันโดยยืนยันในมาตรการต่างๆที่รัฐและผู้ประกอบการต่างจะดำเนินการเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบเชิงลบทั้งปวง

8) จัดหาหน่วยงานอิสระที่มีความน่าเชื่อถือ ออกตรวจและวัดระดับความเข้มของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นระยะๆและเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณะ

9) ติดตามข่าวสารข้อมูล และผลงานวิจัยด้านผลกระทบต่อสุขภาพในโลก โดยร่วมมือและ/หรือให้การสนับสนุนภาคเอกชน นักวิชาการ แล้วทำการเผยแพร่ให้ความรู้ความเข้าใจอย่างเท่าทันแก่สาธารณะอย่างต่อเนื่อง

10) โน้มน้าวภาคอุตสาหกรรม (อุปกรณ์และบริการ) ให้คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมระยะยาวที่ยั่งยืนสำหรับทุกๆฝ่าย ทั้งผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ภาครัฐ และสังคม โดยไม่คำนึงเพียงในผลประโยชน์สั้นๆ เท่านั้น

คำศัพท์

ADSL : Asymmetrical digital subscriber loop

ELF : extremely low frequency หมายถึง คลื่นความถี่ต่ำกว่า 3,000 Hz

EMR : electromagnetic radiation หมายถึง การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

EPA : Environment Protection Agency, USA
Electrosmog หมายถึงมลภาวะจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
Electrosensitivity หมายถึงภูมิแพ้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

FCC : Federal Communications Commission, USA

GHz : gigahertz = 1,000,000,000 Hz

Hz : hertz หรือ cycle per second หมายถึงหน่วย : จำนวนรอบต่อวินาที

IARC : The International Agency for Research on Cancers

ICEMS : The International Commission For Electromagnetic Safety, EU

ICNIRP : The International Commission on Non-Ionizing Radiation Protection

MHz : megahertz = 1,000,000 Hz

mG : milligauss หมายถึงหน่วยวัดความเข้มสนามแม่เหล็ก (magnetic field)

mW/m2 : milliwatt per square meter หมายถึงหน่วยวัดกำลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า: มิลลิวัตต์ต่อตารางเมตร

micro-cells หมายถึงอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ครอบคลุมพื้นที่บริการขนาดเล็ก

nano-cells หมายถึงอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ครอบคลุมพื้นที่บริการขนาดเล็กมาก

NASA : National Aeronautics and Space Administration องค์การการบินและอวกาศแห่งชาติ

RF : radio frequency หมายถึง คลื่นวิทยุ (แม่เหล็กไฟฟ้า) ระหว่าง 3,000 Hz ถึง 300,000 MHz

V/m : volt per meter หมายถึงหน่วยวัดความเข้มสนามไฟฟ้า (electric field)

WHO : World Health Organization องค์การอนามัยโลก

WiFi : Wireless Fidelity หมายถึงเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลด้วยคลื่นวิทยุชนิดหนึ่ง

WiMAX : World Interoperability for Microwave Access หมายถึงเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลด้วยคลื่นวิทยุอีกชนิดหนึ่ง

fengshui:
จาก Forward Mail


Where do you keep your mobilephone normally?
ปกติเก็บมือถือของท่านไว้ที่ใหน

This morning I heard a true and sad story from a colleague of mine.
เมื่อเช้านี้ได้รับข่าวที่น่าสลดใจจากเพื่อนคนหนึ่ง

>> She told me one of her friends is always having abortions.
เธอเล่าว่าเพื่อนเธอคนหนึ่งแท้งลูกตลอดเวลา

When the fetus gets to be 2-3 months old she loses it.
เมื่อตั้งท้องได้ 2-3 เดือนเธอก็ต้องเสียเด็กไป

This happened several times over.
เกิดขึ้นอย่างนี้สองสามหนแล้ว

The couple went to check with many doctors and at last one of the doctors
examined the dead baby and found that the baby's body cells kept dying as
the baby was growing in the womb until he/she could not survive.
สามี-ภรรยาจึงได้ไปหาหมอตรวจหาสาเหตุจากหมอหลายคน
และในที่สุดก็ได้ให้หมอคนหนึ่งทำการชันสูตรศพเด็กอ่อนและก็ได้พบว่า
เซลล์ร่างกายของเด็กอ่อนได้ตายอย่างต่อเนื่องในครรภ์ของมารดา จนในที่สุดก็
ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้

This was because her uterus was affected by mobilephone Radiation.
The doctor told her she now has no chance to give birth to a healthy
baby because the radiation has affected her uterus so that the major
portion of the cells in her uterus have already died.
ทั้งนี้เพราะว่าการกระจายรังสีของโทรศัพท์ มือถือมีผลต่อมดลูกของเธอ
แพทย์ได้บอกเธออีกว่า เธอจะไม่มีโอกาศที่จะกำเนิดบุตรที่แข็งแรงได้
เนื่องจากรังสีจากโทรศัพท์มือถือมีผลร้ายแก่มดลูกของเธอ
ทำให้เซลล์ส่วนใหญ่ในมดลูกได้ถูกทำลายและตายไป

This happened because she has been keeping her mobile phone in her working
jacket so that the phone rested against just on the right spot of the uterus.
She had been wearing it like this for a few years.
สาเหตุที่เกิดขึ้นอย่างนี้เพราะว่าเธอได้ใส่โทรศัพท์ มือถือไว้ในกระเป๋าเสือเจ็กเก็ตตลอดเวลา
และโทรศัพพ์มือถือจะอยู่ในตำแหน่งมดลูกพอดีซึ่งเธอได้ใส่ในกระเป๋าเสื้ออย่างนี้มา 2-3 ปีแล้ว

Please beware of this and take note if you don't want what has
happened to this woman .. happen to your dearest friend.
ได้โปรดให้ความสนใจและระมัดระวังถ้าคุณไม่อยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมาเกิดขึ้นกับเพื่อนรักของคุณ

Please do not ignore hand phone radiation which will damage our health or body organs.
Please put away your hand phone whenever you don't need it much.
โปรดอย่าละเลยและไม่ให้ความสนใจกับการกระจายรังสีจากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสามารถทำลายสุขภาพ
และส่วนต่างๆภายในร่างกายโปรดเก็บมือถือของคุณให้อยู่ห่างๆตัวคุณในขณะที่ไม่ได้ใช้

Guys, Please do not keep your mobile phone near to the kidney position
and pants pocket as this will damage your genital area and affect your
ability to father a baby.
คุณผู้ชายก็ต้องระมัดระวังไม่เก็บมือถือของคุณอยุ่ไกล้กับตับและในกระเป๋ากางเกง
เพราะรังสีจะไปทำความเสียหายและทำลายในบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งมีผลต่อการมีลูก

The other doctor also advised another friend to keep her hand phone
away from her new born baby to avoid radiation damage to the baby's
brain cells.
แพทย์อีกคนหนึ่งยังได้แนะนำเพื่อนอีกคนว่า.. ให้เก็บโทรศัพท์มือถือไว้ห่างๆจากเด็กแรกเกิด
เพื่อป้องกันเซลล์สมองถูกทำลายจากการกระจายรังสี

Do not let the baby or toddler play with the mobile phone. This is because
the small young baby or toddler is still very fragile and growing, so he/she
is much more vulnerable to radiation damage.
อย่าให้เด็กอ่อนหรือเด็กเล็กๆเล่นโทรศัพท์มือถือ เพราะว่าเซลล์ต่างๆของร่างกายกำลังเจริญเติบโต
และมีความบอบบาง ถูกทำลายได้ง่ายจากการกระจายรังสี

Please remember not to sleep together with your mobile phone or put it next
to your bed. Keep any other electronic goods (such as tvs) whichalso give off
radiation away from your bedroomto reduce risk as we have to sleep a few hours
every day in our bedroom at night.
และโปรดจำไว้ด้วยว่าอย่าเก็บโทรศัพท์ไว้ไกล้ตัวในขณะนอนหลับ
และให้เอาอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคเช่น ทีวี ออกจากห้องนอน
ซึ่งทีวีก็มีการกระจายรังสีด้วยเหมือนกัน จะช่วยป้องกันการได้รับรังสีในขณะที่นอนหลับไม่กี่ชัวโมงทุกวัน

Further, do not imagine that if you switch off the TV there will be no
radiation. Actually it is still around in your room.. It is not
advisable to have even a small digital alarm clock close to your head
while sleeping.
และมากไปกว่านั้นอย่าคิดว่าปิดทีวีแล้วจะไม่มีรังสี ยังคงมีอยู่ในห้อง และไม่แนะนำให้มีนาฬิกาปลุก
อิเล็คโทรนิคไว้ไกล้หัวในขณะที่นอนหลับ


Take Care of yourself and your loved ones.
Please pass this on to your friends and family.
I would rather be careful than regret not knowing

ดูแลตัวเองและคนที่คุณรักด้วย
โปรดส่งผ่านไปยังคนในครอบครัวและเพื่อนๆด้วย
ฉันจะระวังมากกว่าที่จะไม่รู้อะไรแล้วมาเสียใจในภายหลัง

อ้างอิง http://www.fengshuitown.com/fengshui-forum/index.php?topic=1010.0;wap2